กรมการปกครองส่งชุดปฏิบัติการพิเศษบุกทลายบ่อนไฮโลกลางเมืองสมุทรสาคร จู่โจมรวบเซียนพนัน 51 คน พร้อมเงินสดของ กลางกว่า 2.7 แสนบาท เผย เบื้องหลังจากแม่บ้านเมียทาสพนันส่งข้อมูลร้องเรียน ผวจ.สมุทรสาคร ระบุผัวติดพนันงอมแงมจนหนี้สินบาน ตะไท ครอบครัวเดือดร้อนหนัก เคยไปตามที่บ่อนแล้วมีคนบอกว่าจ่ายส่วยให้ผู้ว่าฯแล้วใครจะกล้ามาจับ เปิดเย้ยฟ้าท้าดินให้เล่นได้เสียตลอด 24 ชม. ผวจ. ฉุนขาดส่งนายอำเภอประสานกรมการปกครองวางแผนบุกจับกลางวันแสกๆ ผู้การจังหวัดสั่งเชือดทันควัน 4 เสือโรงพักเด้งเข้ากรุ พร้อมตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง

ฝ่ายปกครองระดมพลบุกทลายบ่อนใหญ่กลางเมืองสมุทรสาครแอบอ้างชื่อ ผวจ. เปิดเผยเมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 9 ก.ค. นายรณรงค์ ทิพย์ศิริ ผอ.ส่วนกำกับสืบสวนและปราบปราม สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง ประสานนายวุฒิพงษ์ สุภัควนิช นอภ.เมืองสมุทรสาคร ที่ได้รับมอบหมายจากนายสมคิด จันทมฤก ผวจ.สมุทรสาคร นำกำลังชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองจังหวัดสมุทรสาคร กำลัง อส. และทหาร เข้าปิดล้อมตรวจค้นอาคารพาณิชย์ 3 ชั้น 1 คูหา เลขที่ 38/80 ชุมชนซอยเจ็ดศอก หมู่ 2 ต.นาดี อ.เมืองสมุทรสาคร หลังได้รับแจ้งว่าลักลอบเปิดเป็นบ่อนพนันไฮโล

ที่เกิดเหตุเป็นตึกแถวอยู่ห่างจากถนนเศรษฐกิจเข้าซอยลึกประมาณ 50 เมตร บริเวณด้านหน้ามีรถ จยย.จอดอยู่หลายสิบคัน เจ้าหน้าที่จู่โจมบุกเข้าไปพบเซียนพนันกว่าครึ่งร้อยหน้าดำคร่ำเคร่งยืนล้อมวงอยู่รอบโต๊ะไฮโลขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องโถงชั้นล่าง เมื่อหันมาเห็นเจ้าหน้าที่ถึงกับวงแตกจะวิ่งหนี แต่ถูกปิดล้อมทางเข้าออกไว้ทุกด้าน ถูกจับกุมได้ทั้งหมด 51 คน เป็นชาย 24 คน และหญิง 27 คน ในจำนวนนี้มีชาวกัมพูชา 3 คน ชาวพม่า 3 คน และไร้สัญชาติ 1 คน กลางห้องพบโต๊ะไฮโล 1 โต๊ะพร้อมอุปกรณ์การเล่นครบชุด เงินสด 271,049 บาท พร้อมยึดกล้องวงจรปิด 12 ตัว เครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับเล่นพนันออนไลน์ 3 เครื่อง เซิร์ฟเวอร์ 1 เครื่อง โพยพนันทายผลฟุตบอลที่ใช้พนันแล้ว 39 แผ่น และที่ยังไม่ใช้ 7 แผ่น นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่ง สภ.เมืองสมุทรสาคร ดำเนินคดี

...

สำหรับเบื้องหลังปฏิบัติการบุกทลายบ่อนไฮโลลักลอบเปิดกลางเมืองกลางวันแสกๆครั้งนี้ สืบเนื่องจากมีแม่บ้านคนหนึ่งแจ้งเบาะแสต่อนายสมคิด จันทมฤก ผวจ.สมุทรสาคร ว่าครอบครัวเดือดร้อนหนักเนื่องจากสามีเล่นการพนันจนหมดตัว ติดพนันงอมแงมจนมีหนี้สินรุงรัง ไม่มีเวลาดูแลครอบครัว วันหนึ่งแม่บ้านรายนี้ไปตามหาสามีที่บ่อนเพื่อบอกให้กลับบ้าน ไม่เช่นนั้นจะแจ้งให้ตำรวจมาจับให้หมด แต่กลับมีหนึ่งในนักพนันพูดว่า “ให้ไปแจ้งเลย ไม่กลัวหรอกเพราะที่นี่จ่ายส่วยเรียบร้อยแล้ว บ่อนนี้จ่ายส่วยถึงผู้ว่าฯ ใครที่ไหนก็ไม่กล้ามาจับ”

จากนั้น ผวจ.สมุทรสาคร สั่งการให้นายวุฒิพงษ์ สุภัควนิช นอภ.เมืองสมุทรสาคร ประสานการปฏิบัติกับสำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง ส่งสายลับของฝ่ายปกครองเข้าสืบสวน พบว่ามีนักพนันกว่า 40 คน ล้อมวงเล่นไฮโลอย่างสนุกสนาน มีชายหญิงวัยรุ่น 5 คน สวมเสื้อคอปกสีแดงร่วมกันเป็นเจ้ามือ แบ่งหน้าที่กันทำอย่างเป็นระบบทั้งเขย่าลูกเต๋า กดกระดิ่ง เก็บเงิน และจ่ายเงินให้ลูกค้าที่แทงถูก นอกจากนี้ ใกล้วงไฮโลยังมีคอมพิวเตอร์ 3 เครื่องเปิดเล่นพนันออนไลน์ รวมทั้งโพยพนันฟุตบอลต่างประเทศด้วย ส่วนระบบการป้องกันทางบ่อนพนันมีกล้องวงจรปิด 12 ตัว ดูนักพนันที่เล่นโต๊ะ 7 ตัว และอีก 5 ตัวติดด้านนอกดูรอบทิศทาง รวมทั้งมีคนดูต้นทางคอยแจ้งเตือนนักพนันหากมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามา แต่ไม่วายพลาดท่าถูกเจ้าหน้าที่วางแผนจู่โจมบุกทลายจนได้

นายรณรงค์ ทิพย์ศิริ ผอ.ส่วนกำกับสืบสวนและปราบปราม สำนักการสอบสวนและนิติการ กรม การปกครอง กล่าวว่า ได้รับการประสานจาก นอภ.เมืองสมุทรสาคร ขอกำลังบุกทลายบ่อนเนื่องจาก ผวจ.สมุทรสาคร ได้รับการแจ้งเบาะแสจากประชาชนว่าบ่อนพนันอ้างว่ามีการจ่ายส่วยให้ ผวจ. ทำให้ ผวจ. ไม่พอใจมากจึงสั่งการให้ฝ่ายปกครองบุกจับกุมทันที สำหรับบ่อนพนันแห่งนี้เชื่อว่าไม่ได้มีแห่งเดียวเพราะดูจากโพยที่เขียนไว้ว่าโต๊ะพนันหมู่ 2 แสดงว่าน่าจะมีที่อื่นอีก มีเงินหมุนเวียนแต่ละวันไม่ต่ำกว่าหลักแสนบาท เปิดให้เล่นตลอด 24 ชม. ประกอบกับเมื่อแอบอ้างชื่อ ผวจ.ยิ่งทำให้นักพนันหลงเชื่อมากยิ่งขึ้น จะขยายผลต่อไปว่าใครที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบ่อนพนันแห่งนี้บ้าง

ต่อมาช่วงค่ำวันเดียวกัน พล.ต.ต.สามารถ ศรีสิริวิบูลย์ชัย ผบก.ภ.จ.สมุทรสาคร เผยว่า ได้ออกคำสั่งให้นายตำรวจ 4 เสือ สภ.เมืองสมุทรสาคร ประกอบด้วย พ.ต.ท.พงษ์ศิริ เก่งนอก รอง ผกก.สส. พ.ต.ท.เสรีฐกาญจน์ จันทร์ด้วง รอง ผกก.ป. พ.ต.ท. ภูวเดช ธนเฟื่องสุข สว.สส. และ พ.ต.ต.สุขุม เพาะไธสง สวป. เข้ามาช่วยราชการชั่วคราวที่ ศปก.บก.ภ.จ.สมุทรสาคร จากนั้นจะตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงต่อไป ส่วน พ.ต.อ.จิระวุฒิ ตัณฑศรี ผกก.สภ.เมืองสมุทรสาคร อยู่ระหว่างการช่วยราชการที่ บช.ภ.7 มี พ.ต.อ.สุระพรรณ นาทวรทัต รอง ผบก.ภ.จ.สมุทรสาคร รักษาราชการแทน จึงไม่ได้สั่งย้ายนายตำรวจทั้งสอง