แต่เดิม...“บ้านดงสูง” หมู่ 7 ต.ป่าไร่ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ซึ่งเคยเป็นยุ้งเก็บเกลือส่งขายกัมพูชานำไปทำปลาเค็ม ต่อมาเมื่อเกลือเริ่มลดความสำคัญ บวกกับเกิดความไม่สงบเมื่อปี 2522–2534 ทำให้โรงเกลือต้องปิดตัวเองลง

กระทั่งสมรภูมิสงบดินแดนปอยเปต จังหวัดบันเตียนเมียนเจย ถึงถูกพลิกเป็นสนามการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา มีสินค้าเครื่องใช้จากจีน รัสเซีย เวียดนาม และเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋าที่ได้รับบริจาค รวมถึงของกินจำพวกปลาน้ำจืดน้ำทะเลกัมพูชา มาวางจำหน่ายราคาถูกแสนถูก

ทำเอาคนไทยแห่ไปจับจ่ายสินค้ากันยกใหญ่ จากนั้นรัฐบาลกัมพูชาได้เปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติคือคนไทย เข้าไปลงทุนสร้างกาสิโนขึ้นภายใต้กฎหมายกัมพูชา ตลาดสินค้าปอยเปตจึงต้องย้ายข้ามแดนมาบ้านโรงเกลือ ต.คลองลึก ที่ขึ้นกับ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ตั้งแต่ปี 2536 เป็นต้นมา

โกดังเก็บเกลือจึงได้ผันเป็น “ตลาดโรงเกลือ” นับแต่บัดนั้น โดยเป็นแหล่งสินค้าในโรงเรือนกว่า 3,000 คูหา บนที่ดิน 66 ไร่ และยังคงครองความเป็นตลาดสินค้ามือ 2 จากผู้บริจาค ทั้งที่การบริจาคได้ยุติไปนานแล้ว จะมีเฉพาะสินค้าผลิตใหม่มาสวมรอยแทนเท่านั้น

แต่อย่างว่า...ก็ยังมีผู้คนหลงไปจับจ่ายเหมือนได้สินค้ามือ 2 ติดมือกลับมาจริงๆ

นานวันตลาดโรงเกลือมีแต่จะรุ่งโรจน์ ด้วยสินค้าจากจีน รัสเซีย เวียดนาม ผ่านพ่อค้าจีนในกัมพูชาเป็นดีลเลอร์ ให้พ่อค้ากัมพูชาเข้ามาเช่าคูหาขายคูหาละ 10,000-20,000 บาทต่อเดือน

แต่ละวันจะมีนักช็อปเข้าไปไม่น้อยกว่าเรือนหมื่นในวันปกติ ไม่ต่ำกว่าแสนในวันหยุดราชการ และเกินแสนในช่วงวันหยุดพิเศษหลายวัน ที่นี่จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันเป็นกิจกรรมมนุษย์สร้างขึ้น ตามแบบฉบับอะเมซิ่ง ไทยแลนด์ อันดับต้นๆ สร้างรายได้มหาศาล โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ไม่ต้องทุ่มงบโฆษณาให้เป็นเมืองรองท่องเที่ยว หรือเท่จนต้องห้าม...พลาด!

...

ในวันที่ตลาดยุ้งเกลือในอดีตสามารถเสกเม็ดเงินได้เป็นกอบเป็นกำก็ให้เกิดมีมือดีแอบนำสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์

แบรนด์ดัง อาทิ เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เข็มขัด ที่ “ก๊อป” ได้แนบเนียนมาคลุกขายในราคาต่ำน่าใจหาย...แบรนด์จริง
ขาย 3,000 บาท แบรนด์ปลอมขาย 300 บาทขาดตัว

ร้อนถึงโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องลุกขึ้นมาคำรามใส่สี จิ้นผิง คู่กัดมหาอำนาจแห่งเอเชีย หากยังปล่อยให้มีสินค้าก๊อปแบรนด์ขายอเมริกาก็จะตัดโควตาสินค้านำเข้าจากจีนทันที เล่นเอาเหล่านักก๊อปจีน จากเมืองเสิ่นเจิ้นแหล่งผลิตรายใหญ่ ต้องหยุดการกระทำแล้วหันไปพึ่งนักก๊อปตระกูล “เหงียน” จากเวียดนามแทน ทว่าเป็นที่รู้กันในหมู่ผู้ค้าด้วยกันว่า คุณภาพสินค้าก๊อปจากเวียดนามกลับด้อยค่าในการก๊อป มากกว่าโรงก๊อปจากเสิ่นเจิ้นหลายเท่านัก! ขณะเดียวกันนักค้าชายแดนตลาดโรงเกลือก็เริ่มจะรู้แล้วว่า กองทัพยี่ปั๊วจากจีนจำนวนมากกำลังเคลื่อนเข้าทำกินบนแผ่นดินตนที่เหยียบ หลัก 200,000 คนเข้าไปแล้ว ทำให้คนเป็นเจ้าของแผ่นดินหวั่นๆอยู่เหมือนกันว่า จีนกำลังจะกุมบังเหียนการเป็นดีลเลอร์ค้าชายแดนไว้ในกำมือ เหมือนที่ทำในแขวงต่างๆของ สปป.ลาว

แล้วก็เหมือนการส่งชาวฮั่นจากแต่ละมณฑลเข้าไปในเขตปกครองพิเศษซินเจียงอุยกูร์ ทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ เพื่อหวังละลายชาวอุยกูร์มุสลิมที่คิดจะแบ่งแยกดินแดนจีน เป็นเตอร์กีสมุสลิม อุยกูร์...ลูกหลานชาวขะแมร์คิดไปไกลถึงขั้นนี้แล้ว!?

“ยิ่งกว่านั้น” นักลงทุนไทยรายหนึ่งที่เข้าไปทำการค้าในปอยเปต เผยว่า “กัมพูชาแอบรู้ด้วยว่า มีประชากรจีนชั้นล่างอีกมากหนีคดีฉกรรจ์เข้ามามุดดินอยู่สีหนุวิลล์ แล้วกระจายมาทางบันเตียนเมียนเจย จึงได้ประสานทางการจีน ล่าสุดจีนได้นำเครื่องบินพร้อมกำลังทหารเข้ามายังกัมพูชา และจับกุมคนพวกนั้นกลับไปแล้วกว่า 600 คน”

นักลงทุนรายเดียวกันยังได้ให้ทัศนะอีกว่า เมื่อตลาดโรงเกลือมีสถานะเป็นเพชรเม็ดเอกช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระดับมหภาค
กับเป็นส่วนหนึ่งของเขตเศรษฐกิจพิเศษ จ.สระแก้ว ตั้งแต่ปี 2558 แล้ว และกำลังเตรียมจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม รอนักลงทุนต่างชาติเข้ามาภายในปีสองปีนี้

กับรัฐบาลยังมีแผนแม่บทที่จะพัฒนาปัจจัยพื้นฐานด้านสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ทางรถยนต์ รถไฟเชื่อมประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงสาธารณูปโภครับนิคมอุตสาหกรรม ก็น่าจะผลักดันตลาดแห่งนี้ขึ้นเป็นศูนย์กลางการค้าพาณิชย์อย่างเป็นระบบระหว่างไทย-กัมพูชา

“ผนวกกับเจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่ลดละความพยายาม ที่จะกวาดล้างสินค้าแบรนด์ปลอมต่อเนื่องมาตลอด ล่าสุดเมื่อปลายปีที่แล้วก็เพิ่งปฏิบัติการครั้งใหญ่ ทำเอาตลาดโรงเกลือซบเซาไปถนัด เพราะนักท่องเที่ยวชะลอการเดินทาง รายได้มหาศาลนับพันล้านบาทจึงสูญไปอย่างน่าเสียดาย”

นักลงทุนรายนี้ยังบอกอีกว่า โรงเกลือเป็นตลาดสินค้าราคาถูกเชิงท่องเที่ยววิถีชุมชน ที่คนสองฝั่งค้าขายร่วมกัน ก็ควรรักษาเอกลักษณ์เก็บจุดขายนั้นไว้ ให้คนกลุ่มต้นทุนต่ำมีโอกาสเข้าไปเที่ยวและจับจ่ายตามกำลังที่มี พร้อมกันนั้นก็ตั้งกำแพงป้องกันสินค้าแบรนด์ปลอมไว้ป้องกันปัญหา

ส่วนตรง “ตลาดอินโดจีน” แนวใหม่ 12 โดม ซึ่งเป็นคูหาขายสินค้าขนาด 3 คูณ 3 เมตร 108 คูหา ก็กำลังอยู่ระหว่างเตรียมสร้างสถานีรถโดยสารประจำทางปรับอากาศ บนพื้นที่ 4 ไร่ แล่นแลกเปลี่ยนรถโดยสารไทย-กัมพูชา...ก็น่าจะส่งเสริมเป็นตลาดทันสมัย รับกลุ่มคนชั้นกลางถึงตลาดบน ที่มาแบบครอบครัวหรือบริษัทนำเที่ยว

มีธุรกิจชั้นนำ อาทิ Out Let, Fly Now มาเสนอขายสินค้า มีร้านกาแฟเบเกอรี อาหารตามเทรนด์นิยมคนเจนวาย และเบบี้
บูมเมอร์

นอกจากนี้ ก็ควรเพิ่มศักยภาพให้เป็นฮับการท่องเที่ยว เชื่อมระเบียงเศรษฐกิจตะวันออกชลบุรี–ระยอง–ฉะเชิงเทรา ซึ่งมีสนามบินอู่ตะเภารองรับ มีนครนายก–ปราจีนบุรี เป็นเมืองโครงข่ายภูมิภาค กับอุบลราชธานี–ศรีสะเกษ–บุรีรัมย์ เป็นโครงข่ายภาคอีสาน

...

ท่องเที่ยวต่างประเทศก็โดดเด่นบนจุดขายแตกต่างกัน คือ ชายแดนอรัญประเทศมีปราสาทสด๊กก๊อกธม กับละลุจุดขายทางธรณีวิทยา ส่วนปอยเปตมีสถานบันเทิงหรู 12 แห่งหน้าด่านและเมืองมรดกโลกนครวัด โดยมีนักท่องเที่ยวไทย-กัมพูชาผ่าน
เข้าออกเดือนละ 1.65 แสนคน ต่างชาติอีก 9 หมื่นกว่าคน

“ที่พร้อมแล้วคือมีโรงแรมทุกระดับ 17 โรง 850 ห้อง มีห้องจัดประชุมสัมมนา จัดเลี้ยงรับตลาด MICE ไทย-กัมพูชา ซึ่งมัก
จัดกันประจำ และยังมีโรงพยาบาลรัฐกับเอกชนที่กำลังขยายการลงทุน ให้เพียงพอบริการนักธุรกิจจากเพื่อนบ้านราว 2 แสนคน ที่จะเข้ามาตรวจสุขภาพในอนาคต”

ทิศทาง “ตลาดยุ้งเกลือ”...เก่าและใหม่ เริ่มเห็นแววในปัจจัยที่พร้อมจะ “โกอินเตอร์” อนาคตคงสดใส สั้นๆง่ายๆหากทุกฝ่ายยินดีร่วมมือกัน.