ทุกสรรพสิ่งในประเทศไทยมีเรื่องราวเล่ากันมาตั้งแต่อดีตให้เยาวชนคนรุ่นหลังได้เรียนรู้...!
หากย้อนไปเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2509 เมื่อครั้ง สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (สมเด็จย่า) เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด ร.ร.อานันท์ ที่บ้านป่าละอู ต.ห้วยสัตว์ใหญ่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
โอกาสนี้จึงเป็นจุดกำเนิดของสิ่งสำคัญในพื้นที่ นั่นคือการที่พระราชทานพันธุ์กล้าทุเรียนหมอนทองและพันธุ์ผลไม้อื่นๆให้ราษฎรนำไปปลูกเป็นอาชีพสร้างรายได้ เพื่อทำให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น
ปัจจุบันมีทั้งที่ยืนต้นผ่านหนาวผ่านร้อนมากว่า 50 ปี กับที่ล้มหายตายจากไป สำหรับต้นทุเรียนได้รับพระราชทานนั้นยังหลงเหลืออยู่ 1 ต้น ยืนต้นสูงตระหง่าน ไม่ต่ำกว่า 10 เมตร หรือประมาณอาคาร 4 ชั้น
นายเชิงชาย หอมดี หนึ่งในคณะกรรมการผู้ร่วมก่อตั้ง วิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกทุเรียนป่าละอู กล่าวว่า ต้นทุเรียนต้นนี้อยู่ภายในสวนของ ป้าช้วน หรือ นางช้วน กลัดเงิน อายุ 70 ปี ชาวกะเหรี่ยง หมู่ 3 บ้านป่าละอู
ถึงแม้ “ป้าช้วน” เดินไม่ได้แล้ว แต่ลูกชายยังรับช่วงดูแลเป็นอย่างดี ปัจจัยมาจากภูมิอากาศในพื้นที่มีความชื้นสัมพัทธ์สูง อุณหภูมิต่ำเวลากลางคืน บวกกับสภาพดินร่วนปนทราย ทำให้ทุเรียนหมอนทองมีลักษณะเฉพาะ
โดยทุเรียนในพื้นที่ป่าละอู ต.ห้วยสัตว์ใหญ่ เนื้อจะมีสีเหลืองอ่อน เนื้อหนา แห้งเนียน รสมัน หวานน้อย เนื้อแน่น กลิ่นไม่แรง และเมล็ดลีบเล็ก จึงเป็นที่ชื่นชอบของนักเปิบทุเรียน แม้ราคาสูงถึง 250 บาท/กก.
ผลผลิตออกช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม แต่ปีนี้ฝนชุกผิดฤดูได้ชะดอกทุเรียนร่วงหล่น กับมีช้างป่าบุกกัดกินทุเรียนจำนวนมาก ผลผลิตมีไม่มาก จึงมีพ่อค้าหัวใสนำทุเรียนจากที่อื่นมาสวมขายเป็นทุเรียนป่าละอู
...
จุดนี้เอง วิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกทุเรียนป่าละอู จึงเกิดขึ้นพร้อมส่งเสริมให้สมาชิกเน้นใช้ช่องทางขายทางออนไลน์ รวมทั้งติดป้ายรับประกันอยู่ที่ก้านทุเรียนทุกลูก และนำเทคโนโลยี QR Code มาใช้บอกที่มาที่ไปทุเรียน
หวังให้ลูกค้าผู้ชื่นชอบมั่นใจได้กินทุเรียนป่าละอูของแท้ๆ ไม่มีที่อื่นใดเสมอเหมือนอย่างแน่นอน...!
ชลวิวัฒน์ โฆษิตชัยวัฒน์