“ทีวีเครื่องแรกของเมืองกาญจน์อยู่ที่นี่ ...” หัชชพร เสถียรุจิกานนท์ หนึ่งแกนนำ“ภูมิบ้านภูมิเมืองกาญจน์” เอ่ยพลางชี้เข้าไปในโรงงานกระดาษ เนื้อที่ราว 70 ไร่ ด้านหนึ่งมีกำแพงเมืองกาญจน์โอบกระชับ
“กำแพงเมืองอยู่ในรั้วของโรงงานกระดาษมานาน ชาวบ้านรุ่นใหม่ๆ ไม่มี ใครเห็น หลังจากโรงงานหมดสัญญา คนเมืองกาญจน์พร้อมใจกันเปิดรั้วออกมา จึงได้รู้ว่ากำแพงเมืองกาญจน์ยังเหลืออยู่ และเป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันดูแลต่อไป” อาจารย์ฟ้อน เปรมพันธุ์ อาจารย์ มรภ.กาญจนบุรี เสริม
โรงงานกระดาษเมืองกาญจน์ เป็นโรงงานกระดาษรุ่นแรกของประเทศไทย เปิดใช้เมื่อ พ.ศ.2481 ผลิตกระดาษช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตามมติ ครม.ยุคนั้น โรงงานแห่งนี้เคยเป็นแหล่งผลิตกระดาษป้อนให้ผลิตแบงก์ของไทยในยุคแรกๆ เมื่อหมดภาระเรื่องผลิตกระดาษของรัฐ รัฐบาลให้เอกชนเช่าสัมปทานผลิตกระดาษต่อมาอีก 30 ปี เมื่อหมดสัญญาปี พ.ศ.2560 ทางบริษัทขอต่อสัญญาอีก 1 ปี และจะหมดในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2561 ด้วยเกรงว่า รัฐจะให้เอกชนเข้ามาดำเนินการต่อ กลุ่ม “ภูมิบ้านภูมิเมืองกาญจน์” ประกอบด้วยทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม หลอมใจกัน “ขอคืนพื้นที่”
...
พื้นที่เกือบ 70 ไร่ หากรัฐคืนให้คนเมืองกาญจน์แล้วจะทำอะไรต่อไป นายวิชาญ อุ่นอก หนึ่งในกลุ่มภูมิบ้านภูมิเมืองกาญจน์บอกว่า “เราอยากเห็นว่า พื้นที่ตรงนี้มันจะเป็นอะไรก็ได้ แต่ต้องมาจากคนเมืองกาญจน์ทั้งหมด ไม่ใช่เกิดขึ้นอย่างสวยงามแต่คนข้างนอกมาคิดให้ นี่คือหัวใจของเรา”
ดังนั้น “เราเลยพยายามจัดเวทีหลายรอบ เพื่อระดมความคิดจากเยาวชน ผู้ใหญ่ เพื่อจะได้รู้ว่าเราอยากเห็นอะไรกันบ้าง เมื่อเกิดขึ้นมาได้ คนเมืองกาญจน์ก็จะได้รู้สึกว่าเป็นเจ้าของร่วมกันตั้งแต่แรก ในส่วนตัวที่เป็นรูปธรรมคือ อยากให้เหมือนเป็นห้องรับแขกของเมืองกาญจน์ ใครมาเมืองกาญจน์ต้องมาผ่านตรงนี้ มาเรียนรู้ มาเช็กอิน ทำความเข้าใจ มาเปิดประเด็น และมาเรียนรู้ร่วมกันก่อน”
ภายในอาคารด้านใน “ผมมีความฝันมาก อยากเห็นพื้นที่สีเขียว แหล่งออกกำลังกาย เดินเล่น ไม่อยากให้เป็นของรัฐอย่างเดียว แต่ให้มีสักมุมหนึ่งที่ให้พื้นที่หล่อเลี้ยงตัวเองได้ อาจจะมีการเก็บค่าบริการบางอย่าง เราไม่อยากได้ภาษีรัฐ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่อยากให้มีส่วนหนึ่งที่สามารถบริหารจัดการตนเองได้”
ขณะที่เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติคนเมืองกาญจน์ และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการต่อสู้ครั้งนี้บอกว่า สิ่งที่เราต้องการก็คือ หอศิลป์ และพิพิธภัณฑ์เมือง เล่าเรื่องเมืองผ่านศิลปะ ยังไม่มีที่ไหนเขาทำกัน ยิ่งเอาโรงงานเก่ามาทำยิ่งวิเศษ มันท้าทายมากและที่ตรงนี้เหมาะสมที่สุด ถือว่าเป็นใจบ้านใจเมือง อยู่กลางโบราณสถาน อยู่ในกำแพงเมืองเก่าถึง 50 เปอร์เซ็นต์ จำเป็นอย่างยิ่งที่ชาวกาญจน์จะต้องมีสถานที่อย่างนี้ไว้ นอกจากเป็นความภูมิใจแล้ว ต่อไปประเทศไทยคนต่างชาติจะมากันมากขึ้นอย่างประมาณมิได้ เพราะฉะนั้นการมีสถานที่เหล่านี้ไว้รองรับ เป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจของประเทศด้วย
“ประเทศเราจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่แล้ว ทีมหมูป่าได้พาเราออกมาจากถ้ำได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ถ้าเรามีสถานที่แห่งนี้ คนก็จะมองประเทศไทยด้านมนุษยชาติ ถ้าเรามีสิ่งนี้ไว้อวดเขาก็จะเป็นความสมบูรณ์ ส่วนปัญหาที่ว่ากันมา ผมว่าแก้ไม่ยาก ถ้ารัฐบาลเข้าใจและผมคิดว่ารัฐบาลนี้เข้าใจ”
...
อีกเรื่องคือธุรกิจ ปัจจุบันมีแนวทางสร้างธุรกิจสมัยใหม่ที่เรียกว่าวิสาหกิจเพื่อสังคม เป็นแนวทางใหม่ที่จะพัฒนาบริหารธุรกิจเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่ใช่มุ่งกำไรแต่ฝ่ายเดียว แต่เอากำไรมาพัฒนามูลค่ามีอยู่แล้วให้เพิ่มขึ้น เริ่มมีหลายที่แล้ว ถ้าโรงงานกระดาษมีการบริหารแบบนี้ก็จะสร้างเครือข่ายได้มาก ถือเป็นการนำร่องให้เห็นว่า การทำงานด้านศิลปวัฒนธรรมในเรื่องแบบนี้มันเป็นไปได้ ถ้าร่วมมือกันทั้งประเทศ ก็จะทำให้ทุนวัฒนธรรมที่เรามีมหาศาลแปลงเป็นมูลค่ามหาศาลได้ด้วย เพราะอย่าลืมว่า เรื่องศิลปวัฒนธรรมจะเป็นประเด็นนำของโลก
เนาวรัตน์ชี้ว่า ประเทศไทยเรามีความโดดเด่นด้านศิลปวัฒนธรรมเป็นอันดับ 7 ของโลก เรื่องนี้เราไม่ค่อยตระหนักกัน ในส่วนตัวคิดว่ารัฐบาลคงเข้าใจอยู่ แต่ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม ดังนั้น โรงงานกระดาษถ้าเราทำได้ให้เห็นเป็นรูปธรรมจะเป็นตัวอย่างชัดเจนที่สุด บางถิ่นเขาแค่มีลูกปัดอย่างเดียว ยังสามารถทำขึ้นมาได้
สำหรับการบริหารจัดการหากได้พื้นที่มา “คงต้องมีคณะกรรมการบริหารจัดการในเรื่องนี้ วิสาหกิจเพื่อสังคม คุณหมอประเวศ วะสี ท่านเสนอว่าควรทำเป็นรูปมูลนิธิ มีคณะกรรมการบริหารจัดการในเรื่องนี้ มีสามภาคส่วน คือ ราชการ เอกชน และภาคประชาสังคม รวมตัวกันเป็นชุมชนต่างๆ มีส่วนร่วมกันคิด ทำ และบริหารจัดการด้วย”
...
ถ้าเอกชนประมูลไป “เขาจะทำอะไรก็ทำไปตามใจเขา มุ่งกำไรลูกเดียว แต่ถ้าเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมไม่ได้มุ่งกำไร ยังใช้กำไรมาพัฒนาบริหารงานให้มีคุณภาพยิ่งกว่า เอกชนแม้จะมีใจทำพิพิธภัณฑ์ แม้ว่าเขาจะมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม แต่ธุรกิจเขาก็ยังเป็นหลักอยู่นั่นเอง”
ด้านศักยภาพของเมืองกาญจน์ เนาวรัตน์บอกว่า เมืองกาญจน์มี ภูมิศาสตร์ดี เพราะว่าเป็นเมืองด้านตะวันตก มีป่าเขาใหญ่ น้ำใหญ่ กว้างขวางเป็นอันดับสามของประเทศ มีภูมิทัศน์ดี สมบูรณ์เกือบทุกด้านยกเว้นทะเล ทำให้คนมาท่องเที่ยวมากไม่แพ้จังหวัดไหน ต่อไปเมื่อรถไฟเชื่อมต่อชาวโลกจะมา ยังมีภูมิประวัติ คือประวัติศาสตร์เก่าแก่ลากมาก่อนประวัติศาสตร์ได้เลย มีพงตึก มีดอนตาเพชร ลองคิดดู “ตอนนี้เราชุบแป้งทอดสะพานข้ามแม่น้ำแควขายเรื่องเดียว เรายังอยู่ได้”
...
หัชชพรเสริมว่า ชาวบ้านที่อยู่รอบโรงงานนั้น เรามีการพูดคุยกันหลายครั้ง “เรามองว่าพื้นที่แห่งนี้เหมือนห้องรับแขกของจังหวัดเลย อยู่กลางเมืองและมีความพร้อม ภายในพื้นที่กว่า 60 ไร่ อาคาร 13 อาคาร สามารถทำอะไรได้มากมาย รอบๆโรงงานก็มีกำแพงเมืองเก่าก็จะเป็นแหล่งการเรียนรู้ของชาวบ้าน เป็นสถานที่ออกกำลังกาย เป็นปอด ในเมื่อเป็นโรงงาน กระดาษแห่งแรกของประเทศไทย มีกระบวนการผลิตครบทุกขั้นตอน เครื่องจักรบางตัวทำงานได้อยู่ ตรงนี้สามารถใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ของนักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไปได้”
ด้านภานุวัฒน์ ศีลแดนจันทร์ หนึ่งในกลุ่มภูมิบ้านภูมิเมืองกาญจน์เสริมว่า “การให้เอกชนเข้ามาทำต่อ อาจไม่เป็นผลดีต่อชีวิตชุมชนที่อยู่รอบด้าน หรือในโรงงานกระดาษ เพราะพื้นที่ทุกตารางนิ้วจะใช้อย่างเชิงธุรกิจ แน่นอนว่า จะมีผลกระทบกับชาวบ้าน”
ดังนั้น ควรให้เป็น “ภูมิบ้านภูมิเมือง” และให้คนเมืองกาญจน์ออกแบบตัวเอง เพราะถ้าส่วนกลางจะมาทำอะไรก็ใช้หมวกของตัวเอง ว่าควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จึงอยากให้มาจากคนเมืองกาญจน์ว่า อยากเป็นอะไร คำตอบนั้นคือจุดสำคัญของเมืองกาญจน์ และจะทำได้อย่างถูกต้อง”
และที่สำคัญ “เราต้องใช้พื้นที่นี้สร้างสำนึกร่วมกัน การสร้างความทรงจำร่วมกัน จะเกิดรากของคน จะเกิดคำว่าพวกเดียวกัน ถ้ารากไม่มีก็จะไม่เกิดสำนึกร่วมกัน พอไม่เกิดสำนึกร่วมกันก็จะไม่เกิดความรักสามัคคีกัน พอเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก็ไร้แรงต้านทาน แนวโน้มของประเทศไทยก็ไปในแนวนั้น โรงงานกระดาษจะเป็นโมเดลเดียวในประเทศไทยที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น และเชื่อว่าอีกหลายจุดเราต้องการสร้างโมเดลขึ้นมา เราคิดว่าคงจะมีพื้นที่แบบนี้เกิดขึ้นอีกในประเทศไทย”
นายณรงค์เดช นวลมีชื่อ อีกหนึ่งในกลุ่มภูมิบ้านภูมิเมืองฯ บอกว่า โรงงานกระดาษมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ถ้าให้ประมูลโดยเอกชนไปบริหารฝ่ายเดียว มันจะผลักให้คนเมืองกาญจน์เป็นลูกค้า สิ่งเหล่านี้จะทำให้คนเมืองกาญจน์เป็นลูกค้า เราไม่อยากเห็นเด็กๆไปเข้าแถวเพื่อเข้าไปชมมรดกทางวัฒนธรรม มันไม่ควรอย่างยิ่ง”
และทิ้งท้ายว่า “เรื่องโรงงานกระดาษจะพิสูจน์ว่า คนเมืองกาญจน์จะมีพลังร่วมพอไหม ในการรักษาพื้นที่ทรงคุณค่าแห่งนี้”.