แผ่นดินกรุงศรีอยุธยาสมัยพระเจ้าปราสาททอง ช่วงก้าวผ่านจุลศักราช 1000 ชาวบ้านชาวเมืองตื่นตระหนก ไม่ต่างจาก ค.ศ.2000 ที่ผ่านมา
“เมื่อจุลศักราชครบ 1000 ปี ประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านกลัวกันว่าจะเกิดอันตรายร้ายแรงขึ้น พระเจ้าปราสาททองจึงทรงลบศักราชเพื่อแก้เคล็ด การลบศักราชครั้งนี้ ทำให้การบันทึกปีศักราชสับสนไปเป็นอันมาก เพราะเหตุว่า นักประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบันไม่ทราบว่า พระเจ้าปราสาททองลบศักราชโดยวิธีใดแน่”
แล้วทรงลบไปอย่างไร ศ.ดร.ประเสริฐ ณ นคร อธิบายไว้ในบทความชื่อ พระเจ้าปราสาททองทรงลบศักราช เมื่อคราวกรมศิลปากรขุดค้นพบ “จารึกแผ่นทองแดง วัดไชยวัฒนาราม” จารึกนี้เป็นฐานข้อมูลสำคัญในการคำนวณการลบศักราช และทำให้ทราบชัดว่า พระเจ้าปราสาททองทรงลบศักราชอย่างไร
ศ.ดร.ประเสริฐพบว่า “จารึกวัดไชยวัฒนาราม ทำให้สามารถตัดสินลงไปแน่นอนว่า พระเจ้าปราสาททองมิได้แตะต้องจุลศักราช แต่ทรงแก้นักษัตรจากปีขาลสัมฤทธิศกไปเป็นปีกุนสัมฤทธิศก ตรงตามพระราช–พงศาวดาร นักษัตรจึงผิดวันไปสามปีเท่านั้น”
ฐานข้อมูลที่นำมาคำนวณปี เพื่อยืนยันในเรื่องนี้ยังมี “จารึกบนขอบระฆัง” ที่กรมศิลปากรได้มาจากวัดโพธิ์คลาน ตำบลพิหารแดง อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ปัจจุบันเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี มาใช้ประกอบด้วย
ศ.ดร.ประเสริฐสรุปว่า พระเจ้าปราสาททองไม่ได้เปลี่ยนตัวเลขศักราชเพื่อแก้เคล็ด พระองค์แค่เปลี่ยนปีนักษัตร นั่นคือเปลี่ยนจากปีขาลไปเป็นปีกุน เพื่อความสบายใจของไพร่ฟ้าประชากรเท่านั้น ผิดกับสมัยปัจจุบันที่ต้องจ้างบริษัทเข้ามาเก็บข้อมูลเหมือน ค.ศ.2000 ที่ผ่านมา
ศ.ดร.ประเสริฐ เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ.2461 ที่จังหวัดแพร่ จบปริญญาตรีด้านเกษตรวิศวกรรมจากฟิลิปปินส์ จบมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์และการเมือง จบปริญญาเอกด้านสถิติและผสมพันธุ์พืช จากมหาวิทยาลัยคอร์เนล ประเทศสหรัฐอเมริกา และปริญญาเอกกิตติมศักดิ์อีกหลายมหาวิทยาลัยและหลายสาขา
...
เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา มีงานบรรยายทางวิชาการ “เนื่องในวาระเจริญอายุ 100 ปี ศ.ดร.ประเสริฐ ณ นคร” ณ ห้องประชุมดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ดร.อุเทน วงศ์สถิต และ ผศ.กังวล คัชชิมา อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร บรรยายเรื่อง “มุมมองทางด้านศาสนาจากจารึกวัดป่าแดง” ผู้บรรยายทุกคนล้วนเป็นศิษย์ และต่อยอดความรู้มาจาก ศ.ดร.ประเสริฐ ณ นคร ด้วยกันทุกคน
จารึกวัดป่าแดงมีทั้งหมด 3 แผ่น เป็นจารึกปี พ.ศ.1949 จารด้วยอักษรขอมสุโขทัย ทำด้วยหินทราย เป็นรูปใบเสมา พบที่ฐานเจดีย์วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร ก่อนมาอยู่วัดบวรนิเวศฯ ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้นำมาจากสุโขทัย
นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า เดิมศิลาจารึกอยู่วัดป่าแดง บริเวณเมืองสุโขทัย แต่ปัจจุบันชื่อวัดนี้ไม่ปรากฏ อาจจะเป็นวัดที่พ่อขุนรามคำแหงเรียกว่าวัดอรัญญิก หรือที่อาจารย์สมชาย เดือนเพ็ญ ปราชญ์ชาวเมืองสุโขทัยบอกว่า น่าจะเป็นวัดพญาดำ ที่อยู่ใกล้เขาพระศรี เมืองศรีสัชนาลัย เพราะพบส่วนที่เป็นท่อนล่างของจารึกหลักนี้ในบริเวณนั้น
เนื้อหาจารึกวัดป่าแดง ผศ.ดร.กังวล คัชชิมา บอกว่า มีการกล่าวถึงการโจทย์อธิกรณ์กัน อันแสดงให้เห็นถึงความแปลกแยกกันของพระสงฆ์ ระหว่างพระภิกษุสงฆ์ที่ไปสืบทอดมาจากลังกากับพระภิกษุที่มีอยู่ดั้งเดิมในสุโขทัย ความขัดแย้งนั้นยังส่งผลไปถึงพระสงฆ์ล้านนาด้วย ถึงกับจัดให้มีการโต้วาทีกัน พระภิกษุที่มีอยู่แต่เดิมแพ้ แต่ก็อยู่สืบต่อไปได้ และยังมีบทบาทในสังคมเหมือนเดิม เพราะพระเจ้าแผ่นดินทรงสนับสนุน แต่ต่อมาเมื่อพระเจ้าแผ่นดินซึ่งครองราชย์ภายหลังทรงสนับสนุนฝ่ายที่ชนะ ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งกลับมามีบทบาทมากกว่า
ลักษณะการแตกแยกระหว่างความคิดเก่ากับความคิดใหม่นี้ เสมือนเค้าลางประการหนึ่ง ในการก่อตั้งสายธรรมยุติกนิกาย โดยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อครั้งยังทรงผนวชอยู่ เพราะฉะนั้น “ปรากฏการณ์ที่พระจะแยกตัวไปตั้ง หรือไปปฏิบัติเป็นกลุ่มเป็นก้อนของตัวเองอย่างชัดเจน เช่น สันติอโศกหรือว่าธรรมกาย หรือกลุ่มอื่นๆก็แล้วแต่ ล้วนแล้วแต่เป็นปรากฏการณ์ที่มีมาแล้วทุกยุคทุกสมัย เพราะเป็นธรรมชาติของคนที่เห็นว่า สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราทำ หรือสิ่งที่เราเป็นนั้นดีกว่า ถูกต้องกว่าฝ่ายอื่น แต่กลุ่มก้อนเหล่านั้นจะอยู่ได้หรือไม่ได้ ก็อยู่ที่ปัจจัย 2 ประการก็คือ กลุ่มคนผู้สนับสนุนและผู้ปกครองบ้านเมืองในขณะนั้นๆ”
การแตกแยกของหมู่สงฆ์ “ย้อนไปได้ถึงพุทธกาลที่กรุงโกสัมพี พระภิกษุสงฆ์ทะเลาะกัน แค่เรื่องนิดเดียวคือ ไม่เทน้ำที่ล้างก้นทิ้ง ความขัดแย้งที่เกิดจากการกล่าวหากันของพระสองฝ่าย ลุกลามไปถึงญาติโยมที่สนับสนุนแต่ละฝ่าย ไม่มีใครยอมใคร จนพระพุทธเจ้าต้องเสด็จไประงับเรื่องราว แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะทุกฝ่ายจมอยู่ในความขัดแย้งหน้ามืดตามัวไม่มีใครยอมฟังพระพุทธเจ้า ทำให้ต้องทรงหาวิธีแก้ไขใหม่ด้วยการหนีไปจำพรรษาอยู่ในป่าปาริเลยยกะอย่างเงียบๆ พอชาวบ้านเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จไปอยู่ในป่าเท่านั้นแหละ ก็กล่าวโทษพวกพระที่ขัดแย้งกันที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ จึงพร้อมใจพากันคว่ำบาตร ไม่ยอมตักบาตรถวายภัตตาหาร ทำให้พระทั้งหลายที่ขัดแย้งกันอยู่นั้นอดอยากเป็นอยู่อย่างลำบาก จึงเกิดความสำนึกผิด ต้องไปขอขมาพระพุทธเจ้า เรื่องจึงจบลง”
การแตกแยกของพระภิกษุสงฆ์ “การแตกแยกของคนในสังคมก็ดี นอกจากจะมีผู้หลักผู้ใหญ่ที่ทุกคนนับถือมาเป็นตัวกลางในการช่วยประสานแล้ว ชาวบ้านทั่วไปนี่แหละมีส่วนสำคัญ ในการช่วยให้ความขัดแย้งบานปลายหรือสงบลง”
จากเนื้อหาของจารึกป่าแดง “จะเห็นว่าความแตกแยกเกิดขึ้นเพราะว่ามีความเห็นแตกต่างกัน การจะทำให้สมัครสมานสามัคคีกันได้ หลายภาคส่วนต้องมีส่วนร่วมในการช่วยประสานรอยร้าว ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น”
สังคมไทยมีความแปลกแยกทางความคิดมานานแล้ว “แต่ที่เราอยู่กันอย่างสงบสุขมาได้อย่างยาวนานนั้น ไม่ใช่เพราะผู้ปกครองหรือใครคนใดคนหนึ่งเป็นผู้คอยประสาน แต่เป็นเพราะคนในชาติต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน หากแต่ละคนต่างยึดมั่นในแนวทางของกลุ่มตัวเองจนไม่สนใจแนวทางของกลุ่มอื่นๆ ความขัดแย้งต่างๆก็ไม่มีวันสงบลงได้ อดีตตั้งแต่ครั้งพุทธกาล ตั้งแต่ครั้งสุโขทัยล้านนา จวบมาจนถึงเหตุการณ์เมื่อไม่นานมานี้ ล้วนแต่แสดงให้เราเห็นอย่างประจักษ์ เราเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไปเพื่ออะไร หากมิใช่เพื่อให้เข้าใจปัจจุบัน และหาแนวทางที่ดีกว่าในอนาคต”
...
ขณะที่ ดร.อุเทน วงศ์สถิตย์ อธิบายถึงคุณูปการของ ศ.ดร.ประเสริฐ ต่อวงการจารึกว่า ท่านมีปณิธานอันมุ่งมั่นที่จะอ่านจารึกให้ได้ ท่านบอกว่า บรรพบุรุษของคนไทยจารึกเรื่องราวไว้แล้ว คนไทยต้องอ่านได้ ถ้าย้อนกลับไปสมัยก่อนเมื่อพบจารึกคราวใดต้องส่งไปให้ฝรั่งอ่าน ท่านบอกว่า ถ้าเซเดส์ตาย เราส่งไปให้ฝรั่งอ่าน เราก็จะอายเขา ท่านจึงพยายามฝึกฝนอ่าน และสั่งสอนศิษย์ให้อ่านได้อีกมากมาย
“องค์ความรู้ด้านจารึกและเอกสารโบราณ ถ้าไม่มีอาจารย์ประเสริฐก็คงไม่มีใครทำให้วงวิชาการขยาย และพัฒนาไปทั่วประเทศ อย่างปัจจุบันจะเห็นว่าองค์ความรู้แขนงนี้ ก่อให้เกิดเป็นผลผลิตต่างๆ ทั้งเรื่องประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง อย่างวันกองทัพไทย อาจารย์ประเสริฐท่านคำนวณและกำหนดวัน ต่อมากองทัพไทยก็กำหนดตามอาจารย์”
และยังมีสาขาอื่นๆ อย่างวรรณกรรม หลายเรื่องก็ใช้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์จากจารึก เพราะเป็นข้อมูลชั้นต้น
แม้แต่ “ละครเรื่องบุพเพสันนิวาส ถ้าไม่มีข้อมูลจากจารึกและเอกสารโบราณ ก็คงสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ยาก เราจะเห็นว่า มีละครเรื่องอื่นๆอีกมากที่อาศัยจารึกและเอกสารโบราณ เพราะเป็นเอกสารที่ให้ภาพที่ค่อนข้างชัดเจน” ดร.อุเทนสรุป.