ผอ.ศุลกากร ตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แจงซื้อของดิวตี้ฟรี ถ้าหากเป็นของส่วนตัว มูลค่ารวมกันไม่เกิน 2 หมื่น หิ้วกลับมา ไม่ต้องชำระค่าภาษี หากเกินจากนั้น ต้องชำระภาษี ...
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 9 มี.ค. 2561 นายบุญเทียม โชควิวัฒน ผอ.สำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวถึง กรณีมีประกาศกรมศุลกากรที่ 60/2561 เกี่ยวกับเรื่องของการซื้อสินค้าปลอดภาษี (Duty Free) ที่หากผู้โดยสารซื้อสินค้า และนำกลับเข้ามาต้องเสียภาษี จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลขณะนี้ว่า ผู้โดยสารต้องทำความเข้าใจก่อนว่า แท้จริงหลักการการซื้อสินค้าปลอดภาษี (Duty Free) จากร้านปลอดอากร ทั้งในสนามบินขาออกนอกประเทศ หรือจากร้านปลอดอากรในเมืองนั้น วัตถุประสงค์ คือ ขายเพื่อให้คนนำออกไปต่างประเทศเท่านั้น โดยผู้โดยสารสามารถซื้อได้โดยไม่จำกัดจำนวน และไม่จำกัดมูลค่า แต่ต้องนำออกไป
แต่ในประเด็นที่ว่า หากผู้โดยสารนำออกไปและนำกลับเข้ามา ต้องมีการเสียภาษีนั้น ขอชี้แจงว่า มันก็เหมือนกับที่เราไปซื้อของอย่างอื่นเข้ามา เหมือนกับการไปซื้อของจากต่างประเทศ ทั้งการซื้อจากดิวตี้ฟรีในต่างประเทศก็ตาม หรือซื้อสินค้าอื่นๆ ในต่างประเทศ เมื่อซื้อเข้ามาแล้ว ถ้ามีมูลค่าเกิน 20,000 บาท ก็ต้องชำระค่าภาษีที่เกินจาก 20,000 บาท แต่หากสิ่งที่ท่านซื้อแล้วนำออกไป และนำกลับมา มีมูลค่าไม่เกิน ก็ไม่ต้องชำระค่าภาษี เพราะทางศุลกากรได้กำหนดให้สิ่งของที่สามารถได้รับการยกเว้นอากร คือ ของส่วนตัว ที่เจ้าของที่นำเข้ามาพร้อมกับตน เช่น แว่นตา กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอาง เป็นต้น สำหรับใช้เองหรือใช้ในวิชาชีพ และมีจำนวนพอสมควร มีราคารวมกันไม่เกิน 20,000 บาท ให้ได้รับยกเว้นอากร แต่ถ้าหากเกินจากนั้น ก็ต้องชำระค่าภาษีจากที่เกินที่กำหนดตามพิกัดที่ระบุไว้ หรือตามใบเสร็จที่ซื้อมา
...
ส่วนในกรณีที่ผู้โดยสารไม่ได้ซื้อสินค้ามาจากต่างประเทศ แต่มาซื้อสินค้าในร้านปลอดอากรขาเข้า ที่ตั้งอยู่ในอาคารผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศนั้น ทางร้านกำหนดให้ซื้อได้ต่อคนไม่เกิน 20,000 บาท ก็จะเท่ากับสิทธิที่ผ่านช่องตรวจศุลกากรพอดี ซึ่งของนั้นมันรวมกันทุกอย่างคือ ไม่ได้หมายความว่าซื้อเฉพาะดิวตี้ฟรีเท่านั้น แต่มันรวมถึงของทุกอย่างที่ซื้อมาจากต่างประเทศ หรือจะเป็นสินค้าที่ซื้อจากขาออก และนำกลับเข้ามา หรือว่าจะมาซื้อที่ร้านค้าขาเข้า ซึ่งผู้โดยสารสามารถซื้อได้ตามสิทธิที่ต้องการซื้อ แต่เมื่อผ่านช่องตรวจศุลกากรนั้น ทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติ ก็จะได้รับการยกเว้นอาการตามสิทธิ ที่ประกาศโดยทั่วไปคือ 20,000 บาท หากเกินจากนั้นก็จะต้องชำระค่าภาษีตามพิกัดที่ระบุไว้ หรือตามใบเสร็จที่ซื้อมา
นายบุญเทียม กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของสินค้าที่นำเข้ามาเพื่อเป็นของขวัญ ของฝาก จะไม่รวมอยู่ในสิ่งของที่สามารถได้รับการยกเว้นอากร ถึงแม้ผู้โดยสารจะซื้อเข้ามาในราคาไม่เกิน 20,000 บาทก็ตาม ก็จะไม่ได้รับสิทธิยกเว้นแต่อย่างใด โดยจะต้องนำมาสำแดงต่อเจ้าพนักงานศุลกากรบริเวณช่องแดง เพื่อชำระภาษีตามปกติ แต่หากผู้โดยสารเดินผ่านช่องเขียวไป โดยไม่สำแดงและถูกเจ้าพนักงานตรวจพบ ก็จะถูกปรับตามราคาค่าภาษี ที่จะต้องชำระตามพิกัดบวกภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 หรือถูกยึดสินค้าเหล่านั้น และดำเนินคดีตามกฎหมาย
ทั้งนี้ หากผู้โดยสารไม่มั่นใจว่าสินค้าที่นำเข้ามาจะต้องเสียภาษี หรือไม่ควรเดินผ่านช่องมีของต้องสำแดง (หรือช่องแดง) แทนเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปรับ
สำหรับเรื่องของการสำแดงของใช้ส่วนตัวนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ เพราะเป็นระเบียบเก่าที่นำมาประกาศใหม่ แต่หากผู้โดยสารรายใดที่นำทรัพย์สินของใช้ส่วนตัว เช่น แว่นตา นาฬิกา กระเป๋าแบรนด์เนม ฯลฯ แต่ละชนิดออกไปมากกว่า 1 ชิ้น เพื่อนำไปใส่ตามงานต่างๆ เช่น งานแสดงแฟชั่นโชว์ งานแต่งงาน หรือนำออกไปเพื่อทำงาน ขอแนะนำว่าผู้โดยสารควรนำมาสำแดงต่อเจ้าพนักงานศุลกากร เพื่อความสะดวกในการเดินทางกลับเข้ามา ซึ่งใช้เวลาทำเอกสารไม่นาน โดยสามารถมาแจ้งความประสงค์ได้ที่เคาน์เตอร์ของสำนักงานกรมศุลกากร บริเวณจุดคืนเงินภาษีสำหรับนักท่องเที่ยว (Vat Refund) ชั้น 4 ประตู 10 ได้ตลอด 24 ชม.