พบพระพุทธรูปโบราณ ตำนาน 'พระกินปลา' วัดลาดชะโด อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา หายสาบสูญ 30 ปี ในกุฏิร้าง คนเฒ่าคนแก่ ทราบข่าว มากราบไหว้ไม่ขาดสาย เห็นพ้อง เตรียมบูรณะให้กลับมาสภาพเดิม เผยความเป็นมา ตำนานพระกินปลา ...
เมื่อวันที่ 17 ส.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก พระครูปลัดสราวุธ (อาจารย์ปืน) เกจิชื่อดัง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดลาดชะโด ต.หนองน้ำใหญ่ อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา ว่า พบพระพุทธรูปเก่าสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เนื้อศิลาแลง หน้าตัก 28 นิ้ว ปางมารวิชัย ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่คู่วัดลาดชะโดตั้งแต่สมัยโบราณ และมีประวัติความเป็นมาที่ลี้ลับที่ชาวบ้านทราบกันดี เรียกว่า "พระกินปลา" ซึ่งได้หายสาบสูญไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งตนไปพบโดยบังเอิญเมื่อวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา ภายในกุฏิร้างหลังวัด ที่ไม่มีพระอยู่ และล็อกกุญแจปิดตายมากกว่า 30 ปี โดยพบอยู่บริเวณหลังห้องด้านในสุดของกุฏิ
อาจารย์ปืน เผยต่อว่า เมื่อ 2 ปี ก่อนตนได้เข้าทำความสะอาดกุฏิหลังดังกล่าว เพื่อใช้เป็นห้องเก็บของซึ่งก็ไม่เคยพบเห็นพระกินปลาองค์นี้แต่อย่างใด จนพระทั่งเมื่อวันก่อนได้เข้าไปหยิบของ และเมื่อเดินเข้าไปด้านในสุดของกุฏิ ก็พบพระพุทธรูปหักหลายท่อนวางกองอยู่ และไม่มีเศียร ตนก็เลยสงสัยว่าพระพุทธรูปหักมาอยู่ได้อย่างไร จึงได้ให้ลูกศิษย์ยกออกมาดู พร้อมปัดฝุ่น ก็พบว่านี่คือพระกินปลา ที่อยู่คู่วัดลาดชะโด มานานและหายสาบสูญไป ที่ตนจำได้ ก็เนื่องจากตนเกิดและโตที่นี่ เคยเห็นพระองค์นี้เมื่อสมัยเด็กๆ จึงได้ยกนำมาไว้ที่กุฏิตน ซึ่งเมื่อชาวบ้านคนเฒ่าคนแก่ ทราบก็ต่างมากราบไหว้กันไม่ขาดสาย พร้อมกล่าวยืนยันว่านี่คือ พระกินปลา แน่นอน
...
นายบัญญัติ ผาสุขฤทธิ์ อายุ 68 ปี ชาว อ.ผักไห่ เล่าว่า สมัยเด็กปู่ตนเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนข้างโบสถ์จะมีสระน้ำขนาดใหญ่มีปลาชุกชุม จนเวลาใกล้ค่ำชาวบ้านได้เห็นเงาคล้ายคนลงไปจับในสระวัดกิน จึงได้วิ่งเข้าไปดูเพื่อจะจับคนลักปลาวัด ซึ่งเงาคนดังกล่าวก็วิ่งหนีหายเข้าไปในโบสถ์ ชาวบ้านหากันเท่าไรก็ไม่พบ แต่เมื่อมองไปที่ปากพระพุทธรูปที่ตั้งหน้าพระประธานพบว่าที่ปากท่าน มีเลือดและเกล็ดปลาติดอยู่ ชาวบ้านจึงแห่กันมาดูจำนวนมาก และเรียกท่านว่าพระกินปลา ต่อมาชาวบ้านได้ทำพิธีเจาะปากตรงเหนือจมูก ทะลุถึงคาง และนำนอตตะปู 9 นิ้วใส่ล็อกไว้ เพื่อไม่ให้ท่านกินปลาได้อีก ตามความเชื่อโบราณ จนต่อมามีโจรแอบมาตัดเศียรพระกินปลาไป ซึ่งโจรอาจจจะคิดว่าภายในเป็นสำริด จนทำให้ท่านไม่มีเศียร จนต่อมามีการบูรณะโบสถ์ พระองค์นี้ก็ได้หายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ตนก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ท่านมาอยู่ในกุฏิร้างนี้ได้อย่างไร ซึ่งชาวบ้านมีความเห็นพ้องต้องกันว่า จะทำการบูรณะให้กลับมามีสภาพเหมือนเดิม เพื่อให้หลวงพ่อกินปลาอยู่คู่วัดต่อไป.