ตำรวจ ปปป. ร่วม ป.ป.ท. สำนักพุทธฯ เข้าตรวจสอบบัญชีเงิน "วัดประยุรวงศาวาส" ไม่ใช่การบุกค้นกุฏิ และไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าอาวาส โดยทางวัดเตรียมเอกสารไว้ให้ครบถ้วน

วันที่ 17 ก.ค. 68 ที่วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป. เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. และสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้เข้าไปพูดคุยและขอข้อมูลเรื่องเงินภายในวัด กับพระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาส วัดประยุรวงศาวาส วรวิหาร โดยระหว่างการพูดคุย ได้มีการนำเอกสารการเงินของวัด รวมถึงสมุดบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องอีกหลายเล่ม เข้าไปร่วมทำการตรวจสอบ หลังพูดคุยกันเสร็จเรียบร้อยเจ้าหน้าที่ได้ทยอยเดินทางกลับ โดยเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. ระบุว่า การเข้ามาในครั้งนี้ ไม่ใช่การค้น เป็นเพียงขอข้อมูล และพูดคุยกับเจ้าอาวาสเท่านั้น

จากนั้น พ.ต.อ. สถาปนา จุณณวัตต์ ผู้กำกับการ 6 บก.ปปป. กล่าวว่า ไม่สามารถที่จะเปิดเผยข้อมูลได้ เป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาที่จะต้องมาชี้แจง ซึ่งหลังจากนี้จะนำข้อมูลต่างๆ กลับไปนำเรียนให้กับผู้บังคับบัญชาได้ทราบ แต่ยืนยันว่า วันนี้เป็นเพียงแค่การเข้ามาขอข้อมูลเท่านั้น

...

ด้าน เจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติระบุว่า เป็นเพียงการบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และในการตรวจสอบเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับ พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร แต่อย่างใด

นอกจากนี้ ทีมข่าวยังพบว่ามีรถตู้ของอดีตพระประสิทธิ์มาจอดไว้ ซึ่งเป็นรถตู้ที่จะเอาไว้ใช้ไปกิจนิมนต์และมีคนขับรถให้ ซึ่งหลังจากที่มีการสึกเมื่อวานนี้ ก็มีคนนำรถตู้มาจอดเอาไว้


ขณะที่บรรยากาศที่วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ในระหว่างที่ 3 หน่วยงานกำลังขอข้อมูลกับ พระพรหมบัณฑิต ได้มี น.ส.บัว (นามสมมติ) ชาวบ้านคนหนึ่งอาศัยอยู่หลังวัด เดินทางมาที่หน้ากุฏิเจ้าอาวาส ซึ่งเป็นจุดที่สื่อมวลชนกำลังปักหลักทำข่าวกันอยู่พร้อมนำเอกสารเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดิน ใบแจ้งความ มาร้องเรียน โดยอ้างว่าตัวเองซื้อบ้านพร้อมที่ดิน อยู่ด้านหลังวัดมาในราคากว่า 300,000 บาท แต่ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ โดยอ้างว่าเจ้าอาวาสพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้เป็นเวลากว่า 4 ปีแล้ว ทั้งยังขู่ว่าจะแฉพระวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร โดยอ้างว่ามีพระที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสมหลายรูป

ระหว่างนั้นได้มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง พร้อมประธานชุมชนได้เข้ามาโต้แย้ง ระบุว่า สิ่งที่นางบัวพูดไม่เป็นความจริง และมีการโต้เถียงกันขึ้นเสียงดังลั่น โดยข้อเท็จจริงคือ นางบัวได้ซื้อบ้านที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ธรณีสงฆ์ต่อจากหญิงสติไม่ดี แล้วพยายามจะบีบบังคับให้ทางวัดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ แต่ทางวัดไม่สามารถทำได้ จึงทำให้นางบัวไม่พอใจ และมีการไปแจ้งความดำเนินคดีกับทางวัด จนคดีขึ้นสู่ชั้นศาล และทราบว่าศาลได้มีคำพิพากษาสิ้นสุดแล้วว่าวัดเป็นฝ่ายชนะคดี ซึ่งทุกอย่างถือว่าจบสิ้นแล้ว เรื่องนี้ยืนยันได้ว่าพระในวัดไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นการตกลงซื้อขายกันเองระหว่างบุคคลสองคนเพียงเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก "วัดประยุรวงศาวาส" โพสต์ข้อความระบุว่า การ “นำเสนอข่าว” หรือเผยแพร่ข้อความใดๆ มีเนื้อหาที่เป็นเท็จ และก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น Facebook, YouTube, เว็บไซต์ ฯลฯ ผู้เผยแพร่มีความเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มาตรา 14

...


ที่มาจาก เพจเฟซบุ๊ก วัดประยุรวงศาวาส