สมาชิกสหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติจาก 119 ประเทศทั่วโลก ร่วมเปิดประชุม "ฟอรั่มอารยธรรมแห่งความปรองดอง" ประจำปี 2025 ถกการปรองดองสร้างสันติภาพโลก
วันที่ 10 มิถุนายน 2568 พินิจ จารุสมบัติ รองประธานสภาสหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ ร่วมกับ มาดามซุน ชุนหลาน ประธานสหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ เปิดงานประชุมใหญ่ "ฟอรั่มอารยธรรมแห่งความปรองดองประจำปี 2025" อย่างเป็นทางการ ณ โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ เพื่อร่วมฉลองครบรอบ 50 ปี สัมพันธ์ไทย-จีน โดยชูแนวคิด "อยู่ร่วมกันด้วยความปรองดอง...ส่งเสริมอารยธรรมให้เจริญก้าวหน้า"

งานนี้มีสมาชิกสหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติจาก 119 ประเทศทั่วโลก เดินทางมาร่วมประชุมอย่างคึกคัก พร้อมด้วยบุคคลสำคัญระดับประเทศของไทยและนานาประเทศ ร่วมขึ้นเวทีแสดงวิสัยทัศน์ อาทิ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, หาน เจ้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรไทย, สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี กรรมการมหาเถรสมาคมประธานคณะกรรมการบริหารสถาบันขงจื๊อเส้นทางสายไหมทางทะเล, โรมาโน โปรดี อดีตนายกรัฐมนตรีอิตาลี อดีตประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ประธานกิตติมศักดิ์ร่วม ศูนย์วิจัยนวัตกรรมเพื่อการกุศล จีน-ยุโรป มหาวิทยาลัยปักกิ่ง, วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรีไทย, เฟอร์แม็ง มาต็อกโก ว่าที่ผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโก, หวังเชา นายกสมาคมการทูตประชาชนจีน และเฮาผิง รองประธานบริหารสมาพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยปักกิ่ง
...

พินิจ จารุสมบัติ รองประธานสภาสหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ กล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการว่า ปีนี้เรากำลังก้าวสู่ "50 ปีทองแห่งมิตรภาพไทย-จีน" งานฟอรั่มครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ "สันติสมานฉันท์-เกื้อกูล : ผลักดันสร้างอารยธรรมให้รุ่งเรืองก้าวหน้า"
นอกจากเวทีปาฐกถาหลักแล้ว ยังมี 4 เวทีย่อย ได้แก่ เวทีนักวิชาการ เวทีอธิการบดี เวทีเยาวชน และเวทีนักธุรกิจ พร้อมการแสดงละครรำ "ฝันแสวงตามเส้นทางสายไหม" การจัดงานครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการตอบรับ "วันสากลแห่งการเสวนาอารยธรรม" ของสหประชาชาติ แต่ยังเป็นมาตรการสำคัญในการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมไทย-จีน-อาเซียนและนานาชาติ พร้อมน้อมรับ "ข้อริเริ่มอารยธรรมโลก" เผยแพร่คุณค่าร่วมแห่งมวลมนุษยชาติ เพื่อมุ่งสู่การสร้างสันติภาพให้โลกใบนี้

ด้าน มาดามซุน ชุนหลาน อดีตรองนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ในฐานะประธานสหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ กล่าวเปิดงานว่า การจัดฟอรั่มอารยธรรมแห่งความปรองดองที่ประเทศไทยในปีนี้ นอกจากเพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการระหว่างไทย-จีน ยังจะเป็นเวทีสร้างอารยธรรมปรองดอง ลดความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ ในโลก
ไม่ว่าความขัดแย้งทางเชื้อชาติ การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ เพื่อให้โลกกลับมาสงบสุข อยู่ร่วมกันอย่างสันติ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ส่งมอบโลกที่สวยงาม สงบ สันติให้กับลูกหลานในอนาคต โลกใบนี้มีความหลากหลายทางอารยธรรมมากมาย จึงต้องอาศัยการเรียนรู้ สร้างความเข้าใจกันและกัน บนพื้นฐานการให้ความเคารพกันและกัน ความเมตตา กรุณา และปรองดอง เพื่อปกป้องอารยธรรมที่หลากหลายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก

ขณะที่ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า เราต้องยอมรับว่า ความขัดแย้งไม่ใช่เรื่องใหม่ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ทุกชาติ ทุกอารยธรรม ต่างมีช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด ความไม่ลงรอยระหว่างกันและกัน ซึ่งบางครั้งก็จบลงด้วยความรุนแรงที่ไม่มีผู้ชนะอย่างแท้จริง บทเรียนจากประวัติศาสตร์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า การจัดการกับความขัดแย้ง สามารถทำได้หลากหลายวิธีการ หากเลือกใช้กำลัง แน่นอนว่าอาจนำไปสู่การที่ฝ่ายหนึ่งชนะและอีกฝ่ายพ่ายแพ้ แต่ชัยชนะเช่นนั้นไม่เคยนำมาซึ่งสันติภาพที่แท้จริง หากแต่จะทิ้งร่องรอยของความเคียดแค้น และความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจที่บั่นทอนอนาคต และปิดโอกาสของความร่วมมือที่ทุกฝ่ายพึงมีต่อกัน ประเทศไทยเองก็ไม่ต่างจากสังคมอื่นที่เคยเผชิญกับความขัดแย้งมา
...
ไม่ว่าจะเป็นระดับชาติหรือท้องถิ่น ตั้งแต่ความเห็นต่างทางการเมือง การปะทะกันระหว่างกลุ่มคนในสังคม ไปจนถึงปัญหาในพื้นที่ชายแดน ซึ่งสอนให้เรารู้ว่า การจะฝ่าฟันสถานการณ์เหล่านี้ไปได้ ไม่อาจอาศัยกำลังแต่เพียงอย่างเดียว หากต้องใช้ความเข้าใจ ความอดทนอดกลั้น และการใช้สันติวิธีอย่างถึงที่สุด ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุด จึงไม่ใช่เพียงการเจรจา หรือการต่อรอง หากแต่คือเจตจำนงอันแน่วแน่ ที่จะไม่ปล่อยให้ความขัดแย้งลุกลามจนไร้ทางกลับ เพราะท้ายที่สุดแล้ว สันติภาพ ความสงบสุข คือ "ผลประโยชน์ร่วมกัน" ที่จับต้องได้ของทุกฝ่าย เราเชื่อมั่นในสันติวิธีมาโดยตลอด และจะยึดมั่นในหลักการนี้ต่อไป ด้วยความซื่อสัตย์ จริงใจ และเคารพในกติกาที่มีอยู่ ตลอดจนเคารพในจุดยืนและผลประโยชน์ที่ชอบธรรมของอีกฝ่ายอย่างจริงใจ เราทั้งหลายล้วนมีบทบาทสำคัญในการสร้างและรักษาสันติภาพอันเปราะบางนี้ไว้ด้วยความระมัดระวัง
ผมหวังว่า เวทีในวันนี้จะเป็นหมุดหมายสำคัญของการส่งเสริม "การอยู่ร่วมกันด้วยความปรองดองในทุกระดับ" โดยเริ่มต้นจากตัวเราทุกคน และขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนร่วมกันสร้างวัฒนธรรมการสื่อสารที่สร้างสรรค์ ไม่ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง ไม่ผลิตหรือเผยแพร่ข่าวเท็จ และไม่บิดเบือนข้อเท็จจริงด้วยเจตนาร้าย เพราะคำพูดที่ขาดความรับผิดชอบแม้เพียงไม่กี่คำ อาจบั่นทอนและทำร้ายประเทศได้อย่างร้ายแรงเกินกว่าที่หลายคนจะคาดคิด

...