ตำรวจ กก.3 บก.ปอศ. เปิดปฏิบัติการ “ขุดรากแก๊งปลอมเพจหลอกชวนเทรดหุ้น” ตรวจค้น 21 จุด 8 จังหวัด ใน จ.ปทุมธานี จ.สมุทรปราการ จ.สมุทรสาคร จ.ชลบุรี จ.สุรินทร์ จ.ชัยภูมิ จ.ตาก และ กทม. จับกุมผู้ต้องหา 26 คน มีชาวจีนระดับผู้สั่งการรวมอยู่ 4 คน เผยคนร้าย ปลอมเพจร้านทองชื่อดัง ชักชวนร่วมเทรดหุ้นอ้างผลตอบแทนสูง ก่อนเชิดเงินหนีมีผู้ตกเป็นเหยื่อจำนวน มาก ตะลึงพบเงินหมุนเวียนกว่า 1,200 ล้านบาทในระยะเวลา 2 ปี ขณะที่ ผบช.ก. ฝากเตือนการลงทุน ในลักษณะนี้แล้วได้ผลตอบแทนสูงไม่มีอยู่จริงและเป็นไปไม่ได้
ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 31 ต.ค. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ. พ.ต.อ.พัฒนา ฉายาวัฒน์ รอง ผบก.ปอศ. พ.ต.อ.จักรกริช เสริบุตร รอง ผบก.ปอศ. พ.ต.อ.วิจักขณ์ ตารมย์ รอง ผบก.ป. ปฏิบัติราชการรอง ผบก.ปอศ. พ.ต.อ.ธีรภาส ยั่งยืน ผกก.3 บก.ปอศ. พ.ต.ท.ณธัชพงศ์ สินสิริยานนท์ รอง ผกก.3 บก.ปอศ. ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการ “CIB Anti OnlineScam: ขุดรากแก๊งปลอมเพจ หลอกชวนเทรดหุ้น” หลังนำกำลังเข้าตรวจค้น 21 จุดเป้าหมาย ในพื้นที่ 8 จังหวัด ประกอบด้วย จ.ปทุมธานี จ.สมุทรปราการ จ.สมุทรสาคร จ.ชลบุรี จ.สุรินทร์ จ.ชัยภูมิ จ.ตากและ กทม.
จากการเปิดปฏิบัติการครั้งนี้สามารถจับกุม ผู้ต้องหา 26 คนในจำนวนนี้มีชาวจีน 4 คน ประกอบด้วย นายหยางเฟิง เซียว อายุ 29 ปี นายเหลียง หวาง อายุ 28 ปี จับทั้งคู่ได้ใน กทม. นายลอง หัวเปียว อายุ 38 ปี น.ส.ไอเซีย หลิว อายุ 48 ปี จับได้ที่ จ.ชลบุรี ทั้งหมดเป็นระดับหัวหน้าผู้สั่งการ พร้อมตรวจยึดเงินสดในบัญชีคริปโตเคอร์เรนซี 28 ล้านบาท สมุดบัญชี 23 เล่ม โทรศัพท์มือถือ 21 เครื่อง ซิมการ์ด 19 ซิม คอมพิวเตอร์แบบพกพาและแท็บเล็ต 3 เครื่อง เงินสด 100,000 บาท และอื่นๆอีกหลายรายการ รวมมูลค่า 30,928,305 บาท
...
สืบเนื่องจากคนร้ายกลุ่มนี้ปลอมเพจเฟซบุ๊กร้านทองออโรร่าขึ้นมา ก่อนโพสต์ชักชวนประชาชนให้นำเงินมาร่วมลงทุนเทรดหุ้น อ้างได้กำไรร้อยละ 20-30 ของเงินลงทุน แท้จริงแล้วผลกำไรต่างๆเป็นเพียงแค่ตัวเลขที่กลุ่มผู้ต้องหาสร้างขึ้นมาเพื่อล่อใจเหยื่อ แต่ไม่สามารถถอนเงินออกมาได้เพราะคนร้ายจะอ้างเงื่อนไขต่างๆ อาทิ ต้องเสียภาษี ต้องวางการันตี หรือเงื่อนไขอื่นๆทำให้เหยื่อไม่สามารถถอนเงินได้ ก่อนจะตัดขาดการติดต่อแล้วเชิดเงินหนี มีผู้ตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก ทั้งหมดเข้าแจ้งความไว้ในหลายท้องที่ หลังทราบเรื่องชุดสืบสวน กก.3 บก.ปอศ.จัดกำลังลงพื้นที่รวบรวมหลักฐานพบผู้ต้องหากลุ่มนี้แบ่งหน้าที่กันทำเป็นขบวนการ อาทิ คนจัดหาเพจ คนโพสต์ข้อความเชิญชวน คนติดต่อพูดคุยกับเหยื่อ คนสอนเทรดหุ้น บัญชีม้า คนแปลงทรัพย์สิน มีนายทุนชาวจีนเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง พร้อมว่าจ้างคนไทยเป็นนอมินีเปิดบริษัทขึ้นมาบังหน้า 3 บริษัท ก่อนขอศาลออกหมายจับผู้เกี่ยวข้อง 50 คน นำมาสู่การเปิดปฏิบัติการครั้งนี้ ตรวจสอบเส้นทางการเงินของขบวนการนี้พบเงินหมุนเวียนกว่า 1,200 ล้านบาทในระยะเวลา 2 ปี ขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายผลเพื่อดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.ฟอกเงินฯ
ส่วนเส้นทางการเงินพบเงินของเหยื่อจะถูกโอนไปยังบัญชีม้าคนไทย มีด้วยกันทั้งหมด 3 แถว ก่อนจะโอนต่อเข้าสู่บัญชีม้าแถวที่ 4 เป็นบัญชีชาวต่างชาติ เพื่อรวบรวมเงินแล้วนำไปแปลงเป็นทรัพย์สิน 3 รูปแบบคือ 1. สั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศแล้วส่งไปที่ประเทศกัมพูชา สปป.ลาว เพื่อขายแล้วนำเงินสดกลับมา 2.แปลงเป็นคริปโตเคอร์เรนซี และ 3.แปลงเป็นอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ มีบริษัทนอมินีทั้ง 3 แห่งคอยบริหารจัดการ เมื่อตรวจสอบพบไม่มีการดำเนินกิจการจริง แต่กลับมีเงินหมุนเวียนนับพันล้านบาท สำหรับผู้ต้องหาทั้งหมด 26 คนที่จับกุมตัวได้นั้นมีทั้งให้การภาคเสธและปฏิเสธ
ขณะที่ พล.ต.ท.จิรภพเปิดเผยว่า ตามปกติแล้วแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มักจะมีฐานที่ตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน เน้นการใช้โทรศัพท์เป็นหลัก ต่างจากแก๊งนี้ที่มีฐานที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยเพราะไม่ได้ใช้โทรศัพท์เป็นอุปกรณ์หลักในการก่อเหตุ สำหรับผู้ต้องหาคนไทยที่ร่วมขบวนการส่วนใหญ่เป็นบัญชีม้า เลขาฯและนอมินีกรรมการบริษัท นอกจากนี้เตรียมขยายผลตรวจสอบกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาด้านกฎหมายของบริษัทนอมินีทั้ง 3 แห่งเหล่านี้ด้วยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ ขอฝากทิ้งท้ายไปถึงประชาชนที่คิดอยากหาธุรกิจลงทุนต่อยอดว่า การลงทุนที่ได้กำไรหรือผลตอบแทนสูงในลักษณะนี้ไม่มีอยู่จริงและเป็นไปไม่ได้ การลงทุนทุกอย่างต้องใช้วิจารณญาณ ไตร่ตรองให้ดีอย่าเชื่ออะไรง่ายๆ