เด็กชายขอบ ชนเผ่า ไร้สถานะทางทะเบียน การต่อสู้เรียกร้องด้านสิทธิมนุษยชนยังดำรงอยู่ ตราบเท่าที่มีความเหลื่อมล้ำเกิดขึ้นในสังคม "มีตัวตนแต่ไร้รัฐก็ไร้ประโยชน์" นอกจากได้สิทธิในการเรียนแล้ว เขาไม่มีสิทธิอย่างอื่นเลย ขณะที่กรรมการบริหารมูลนิธิไทยรัฐ เผย ร.ร.ไทยรัฐวิทยา รับเด็กชายขอบเข้าเรียน เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างประเทศ และระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการทุกประการ

วันที่ 15 ก.ย.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในงานที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนได้จัดงานขึ้น ณ โรงแรมเซนทารา ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร เมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีการประชุมย่อยและเสวนาเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนโดยนักวิชาการ และนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน มีตัวแทนเด็กชายขอบที่เป็นชนเผ่าและอยู่ในฐานะไร้สถานะทางทะเบียนจากโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 33 อำเภอแม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน มาแสดงความสามารถและเที่ยวชมสถานที่สำคัญๆ ในกรุงเทพมหานคร เบื้องต้นได้เข้าพบ นายมานิจ สุขสมจิตร กรรมการบริหารมูลนิธิไทยรัฐ

หลังการพบปะ นายมานิจ กล่าวถึงการรับเด็กชายขอบเข้าเรียนว่า เป็นไปตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการทุกประการ การศึกษาเรียนรู้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างประเทศว่า ใครไปอยู่ในประเทศไหนต้องให้การศึกษา เพื่อให้อยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข เด็กที่มาเรียนในโรงเรียนไทยรัฐวิทยาก็เป็นเรื่องของทางการดูแล และทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย สิ่งที่เราสนับสนุนคืออาหารกลางวันให้เด็กได้มีกินอย่างถูกสุขลักษณะ พัฒนาครูให้อบรมสั่งสอนเด็กให้มีความรู้และเป็นคนดี 

...

น.ส.ลาหมึทอ ดั่งแดนวิมาน เจ้าหน้าที่มูลนิธิเครือข่ายสถานะบุคคล ผู้นำเด็กๆ เข้ามาร่วมงาน และจัดการแสดงชุด “ต่าโอ๊ะทู” แปลว่า ชีวิต เธอบอกว่าต้องการสื่อให้เห็นว่าปัญหาของเด็กที่เข้าไม่ถึงสิทธิที่ควรจะได้รับ ทั้งเรื่องการเดินทาง การรักษาพยาบาล ต้องการให้ผู้ใหญ่ได้เห็นจากเด็กซึ่งเป็นเจ้าของปัญหาเอง 

นักเรียนที่เดินทางมา อาทิ น.ส.ตะเลพอ อายุ 17 ปี นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 33 อำเภอแม่สะเรียง น.ส.ตะเลพอ มีบัตรประจำตัว มีอักษรนำหน้าด้วยตัวจี เธอเข้ามาเรียนมัธยมที่โรงเรียนไทยรัฐวิทยาสายสามัญ เธอบอกว่าอยากได้เรียนสูงๆ จะได้ทำงานที่ดี สถาบันที่ฝันอยากไปเรียนต่อระดับปริญญาตรีคือ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ตามรุ่นพี่ๆ อาชีพในฝันของเธอคือเภสัชกร เธอบอกว่าอยากเห็น "ผู้ใหญ่แก้ปัญหาเรื่องสิทธิไวๆ เพราะเด็กมีเพิ่มขึ้นทุกปีจะได้ไม่สั่งสมปัญหา" ขณะที่ น.ส.โสรดา อายุ 16 ปี นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 33 ฉายฝันออกมาว่า เรียนจบอยากเป็นพยาบาล เพราะว่าคนที่ไม่มีบัตรเลข 13 หลัก เมื่อเจ็บป่วยจะได้ช่วยเหลือ 

ด้านผู้ดูแลเรื่องสิทธิของคนชายขอบ นายสันติพงษ์ มูลฟอง ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายสถานะบุคคล บอกว่าเด็กไร้รัฐมีแต่ตัวตน เมื่อไม่มีเลข 13 หลักก็ไม่มีหลักประกันอะไร กลุ่มนักเรียนที่บัตรขึ้นด้วยอักษรจี กลุ่มนี้ทั่วประเทศมีราว 100,000 คน พวกนี้นอกจากได้สิทธิในการเรียนแล้ว เขาไม่มีสิทธิอย่างอื่นเลย ทั้งเรื่องประกันสุขภาพ การเดินทางออกจากพื้นที่ การเข้าถึงเงินและกองทุนต่างๆ เด็กเหล่านี้มีทั้งลูกหลานที่เกิดในประเทศไทย เด็กข้ามชาติ และเด็กข้ามแดนมาเรียนหนังสือ "เรากำลังดูเรื่องนี้อยู่ว่า ทำอย่างไรจะให้เด็กไร้รัฐไร้สัญชาติเหล่านี้ ได้มีตัวตนตามหลักกฎหมายไทย"   

พร้อมระบุอีกว่า สามเณรกลุ่มหนึ่งเข้าเรียนไม่ได้ เพราะไม่มีวุฒิการศึกษาชั้น ป.6 เนื่องจากโรงเรียนพระปริยัติเขาเปิดให้เรียนเฉพาะมัธยม ส่วน สพฐ.ก็บอกว่าผู้เรียนของเขาเป็นเด็กหญิง เด็กชาย ไม่ใช่สามเณร จึงไม่รับ ส่วนของ กศน.สามเณรที่อายุต่ำกว่า 15 ปี ก็เข้าเรียนไม่ได้ จึงกลายเป็นปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข   

ในส่วนของครูพื้นที่ชายแดน ครูปรีชา สอนมาลา โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 33 ให้ภาพเด็กชายขอบที่เข้ามาเรียนว่า ส่วนมากเป็นนักเรียนที่จบจากโรงเรียนชายแดนไทย-เมียนมา เมื่อจบชั้นประถมแล้วก็เข้ามาเรียน ม.1 ปัญหาประการหนึ่งคือภาษาที่ใช้สื่อสารของเด็กๆ แต่ทางโรงเรียนก็ช่วยอย่างเต็มกำลังสามารถ อย่างเช่น เมื่อก่อนโควิดระบาด ในประเทศเมียนมาเกิดการสู้รบกัน เด็กทะลักเข้ามากว่า 10 คน พวกเขาต้องมาเรียน ม.1ใหม่ แต่ภายในสองปีก็สามารถใช้ภาษาไทยสื่อสารได้ดี "เรารับเด็กตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการ เราไม่ได้เลือกว่าเด็กจะมาจากไหน เราให้สิทธิเข้าถึงการศึกษาเท่ากัน" 

...

สำหรับการนำเด็กเข้ามาเห็นโลกกว้างครั้งนี้ น.ส.ลาหมึทอ บอกว่า "เราพาของจริงมาให้เห็น อย่างน้อยก็ให้เด็กเห็นความจริงว่า ใครทำเรื่องอะไรเกี่ยวกับเด็กบ้าง และเท่ากับให้ฝ่ายที่พบปัญหาและแก้ปัญหามาพบกัน"

(รายงานโดย สัจภูมิ ละออ)