2 หญิงไทยโร่ร้อง “บิ๊กโจ๊ก” มี “กัน จอมพลัง” เป็นสื่อให้ช่วยตามจับแก๊งค้ากามข้ามชาติ หลังถูกหลอกไปนวดแผนไทยที่เมืองสุรัต ประเทศอินเดีย อ้างมีรายได้สูงเดือนละ 1 แสนบาท หลงเชื่อบินฟรีโดยค่าตั๋วและวีซ่าผู้จ้างออกให้ก่อน พอไปถึงถูกสาวทอมคนไทยยึดหนังสือเดินทางบังคับรับแขกวันละ 14 รอบ 3 วัน ได้อาบน้ำ 1 ครั้ง เหยื่อทำจน “นมทำ” แตกเป็นไข้ปางตาย ก่อนถูกส่งตัวกลับแต่ต้องจ่าย 75,000 บาท อีกคนประสบชะตากรรมไม่แพ้กันต้องยอมจ่ายเงินถึงได้กลับแผ่นดินเกิด “บิ๊กโจ๊ก” เผยรู้ตัวหมดแล้วทั้งขบวนการจะเร่งรวบรวมพยานหลักฐานจับกุมต่อไป

ลวง 2 สาวไทยค้ากามแดนภารตะครั้งนี้เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 6 ก.ย. ที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือกัน จอมพลัง พา น.ส.แอน (นามสมมติ) อายุ 30 ปีและ น.ส.หญิง (นามสมมติ) อายุ 29 ปี เหยื่อหญิงไทยถูกหลอกไปค้าประเวณีที่ประเทศอินเดีย เข้าพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.เพื่อขอความช่วยเหลือติดตามนายหน้าที่หลอกไปค้าประเวณีมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

น.ส.แอน ผู้เสียหาย กล่าวว่า เมื่อวันที่ 18 ส.ค.66 มีเพื่อนที่รู้จักมาชวนให้ไปทำงานนวดแผนไทยที่ประเทศอินเดีย อ้างว่ามีรายได้เดือนละประมาณ 100,000 บาท ถ้าอยู่เป็นปีจะมีรายได้กว่า 1 ล้านบาท ก่อนที่เพื่อนคนดังกล่าวจะส่งเบอร์โทรศัพท์นายหน้าจัดหางานชื่อ น.ส.อารยา หรือกุ้ง มาให้พูดคุยกันผ่าน WhatsApp บอกให้ส่งเอกสารข้อมูลส่วนตัวไปให้เมื่อวันที่ 19 ส.ค.66 จากนั้นวันเดียวกันคือวันที่ 20 ส.ค.ได้รับวีซ่าและตั๋วเครื่องบิน ค่าใช้จ่ายทางโน้นเป็นคนออกให้ทั้งหมด

เหยื่อสาวที่ถูกลวงไปค้ากามต่างแดนกล่าวต่อว่า กระทั่งวันที่ 21 ส.ค. นัดเจอกับ น.ส.กุ้ง ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อเดินทางไปประเทศอินเดียพร้อมเพื่อนรุ่นพี่อีกคนถูกแนะนำมาเช่นกัน เครื่องลงที่สนามบินมุมไบ จากนั้นถูกนำขึ้นรถไปเมืองสุรัต ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินมุมไบไปประมาณ 6 ชั่วโมง เมื่อไปถึงพบว่าเป็นลักษณะคล้ายอพาร์ตเมนต์ให้เช่า มีสาวทอมคนไทยชื่อหยกเป็นผู้ดูแลก่อนจะยึดพาสปอร์ตตนและเพื่อนรุ่นพี่ไป หลังจากนั้นได้พาตนทั้งคู่ไปที่ร้านนวดแห่งหนึ่งอ้างจะพาไปดูงาน เห็นสถานที่แล้วไม่ได้เอะใจเพราะเป็นสถานนวดปกติ

...

น.ส.แอนกล่าวต่อว่า ต่อจากนั้นมีคนมาเรียกตนเข้าไปในห้องให้ไปบริการลูกค้า ถึงรู้ว่าไม่ใช่การนวดอย่างที่ตกลงกันไว้เพราะลูกค้าชายชาวอินเดียบอกต้องการจะมีเซ็กซ์ รู้สึกตกใจ ปฏิเสธแต่ถูกชายอินเดียใช้มือตบหน้าและใช้กำลังบังคับข่มขืน หลังจากนั้นถูกบังคับรับแขกมาตลอด 8 วัน วันหนึ่งต้องรับแขก 14 ครั้ง 3 วันได้อาบน้ำ 1 ครั้ง จนกระทั่งป่วยเป็นไข้หนักเพราะซิลิโคนหน้าอกแตก ทางร้านให้กินแค่ยาพาราเซตามอลและบังคับให้บริการลูกค้าตามปกติ แม้จะขอร้องว่าร่างกายไม่ไหวแล้วแต่คนคุมไม่สนใจบังคับให้บริการลูกค้าต่อ ตัดสินใจโทรศัพท์หา น.ส.กุ้ง นายหน้าที่เรียกว่าแม่ บอกว่าไม่ไหวแล้วต้องการไปโรงพยาบาล ได้รับคำตอบว่าหากไปหาหมอแล้วไม่เป็นความจริงจะต้องถูกฆ่า สุดท้ายถูกพาส่ง รพ. แพทย์ระบุซิลิโคนหน้าอกแตก น.ส.กุ้ง ตัดภาระส่งตนกลับประเทศไทยในสภาพปางตายและต้องมีค่าใช้จ่าย ได้ขอยืมสร้อยคอทองคำเพื่อนในเมืองไทยไปขายและยืมเงินสดคืนให้นายหน้าไป 75,000 บาท เพื่อได้กลับเมืองไทย

ขณะที่ น.ส.หญิง ผู้เสียหายอีกรายเผยว่า บินตามไปอินเดียวันที่ 28 ส.ค. แต่เมื่อไปถึงก็ถูกกระทำไม่ต่างกัน เลยตัดสินใจหลบหนีแต่ถูกตามจับได้ถูกนำไปขังไว้ในห้องแคบๆ มีเพียงช่องอากาศเล็กๆไว้ดูอาทิตย์ขึ้นและลง ต้องนอนอยู่กับหนูกับแมลงสาบ ถูกกักขังทำร้ายร่างกายทุบตีอยู่ 8 วัน ก่อนจะยอมเสียเงินกลับเมืองไทยเหมือน น.ส.แอน

ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า หลังจากนี้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการร่วมกับสหวิชาชีพสอบสวนข้อมูลจากผู้เสียหาย รวบรวมพยานหลักฐานสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดขณะนี้สามารถระบุตัวผู้ต้องหาได้ครบทั้งคนหลอกชักชวนเหยื่อ คนลักลอบพาข้ามแดน และคนไทยในประเทศอินเดียที่อยู่รับตัวเหยื่อปลายทาง จะเร่งสืบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องหาให้ได้ทั้งหมดโดยเร็ว

วันเดียวกัน พล.ต.ต.ศารุติ แขวงโสภา ผบก.ปคม.สั่งการ พ.ต.อ.รัชภูมิ กุสุมาลย์ ผกก.4 บก.ปคม. พ.ต.ท.กิตติพงศ์ อมฤตโอฬาร พ.ต.ท.พัฒษพงศ์ เสณีแสนเสนา สว.กก.4 บก.ปคม. นำกำลังจับกุมนายนิรุช หนูปรอด อายุ 41 ปี และ น.ส.จุฑามาศ หรือวรรณ แขกเทศ อายุ 40 ปี 2 ผัวเมีย ตามหมายจับศาลอาญาข้อหา “สมคบกันค้ามนุษย์ฯ, ร่วมกันค้ามนุษย์โดยแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณีฯ, ร่วมกันเป็นธุระจัดหาเพื่อการอนาจารฯและเป็นธุระจัดหาเพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณี โดยใช้อุบายหลอกลวง” จับได้ในพื้นที่ อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา หลังทั้งคู่ชักชวนผู้เสียหายไปทำงานนวดในประเทศสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ อ้างว่ารายได้ดี ออกค่าเดินทาง ค่าที่พักและค่าอาหารให้ แต่เมื่อไปถึงกลับถูกขายต่อให้ชาวจีนและถูกยึดหนังสือเดินทางบังคับให้ค้าประเวณี ผู้เสียหายวางแผนหลบหนีมาขอความช่วยเหลือจากสถานกงสุลไทยเดินทางกลับประเทศเข้าแจ้งความ บก.ปคม. กระทั่งตามจับกุมได้ สอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ