"หมอเอก" อดีตคณะ กมธ.สาธารณสุข และคณะทำงานด้าน สธ. พรรคภูมิใจไทย โต้ปมโจมตี สธ.ในมือ รบ.ชุดที่แล้ว ติงคนวิจารณ์อคติเยอะ-หลักฐานน้อย

เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (2 ก.ย.) เฟซบุ๊ก "หมอเอก Ekkapob Pianpises" ของ นพ.เอกภพ เพียรวิเศษ อดีตคณะกรรมาธิการ กมธ. การสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร และคณะทำงานด้านสาธารณสุข พรรคภูมิใจไทย ปรากฏข้อความระบุว่า "เห็นอาจารย์แพทย์บางท่านเขียนลงเฟซบุ๊กในทำนองจดหมายเปิดผนึกถึงรุ่นน้อง ที่จะได้มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคนใหม่ ด้วยเนื้อความที่ดูเป็นการโจมตีการบริหารจัดการกระทรวงสาธารณสุข ที่อาจจะต้องการโจมตีการบริหารงานของรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดที่ผ่านมา แต่ด้วยความไม่มีข้อมูลหลักฐานและกล่าวหากว้างๆ เหมือนเป็นการบรรยายความคิดเห็นที่เต็มไปด้วยอคติส่วนตัว และเหมือนเป็นการกล่าวหากระทรวงสาธารณสุขในภาพรวม"

นพ.เอกภพ ระบุต่อว่า "ผมอาจไม่ได้จบแพทย์จากมหาวิทยาลัยที่จะอ้างว่า เป็นรุ่นน้องของอาจารย์คนนั้นได้ เพราะผมจบจากคณะแพทย์มหาวิทยาลัยต่างจังหวัด ผมไม่ได้เป็นอาจารย์แพทย์ในโรงเรียนแพทย์ชั้นนำของประเทศ แต่ผมมีประสบการณ์ทำงานในโรงพยาบาลชุมชนตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นบัตรทอง และเป็นแพทย์รุ่นที่ในช่วงแรกได้เป็นพนักงานของรัฐ ไม่ได้เป็นข้าราชการ แล้วย้ายมาในโรงพยาบาลศูนย์ ก่อนจะลาออกจากราชการไปเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชน และมีช่วงหนึ่งที่ได้ไปเป็นแพทย์ในช่วงเริ่มต้นของคณะแพทย์ที่ตั้งใหม่ จนกระทั่งได้มาทำหน้าที่เป็น สส. ซึ่งติดตามงานด้านสาธารณสุขผ่านกรรมาธิการสาธารณสุข"

"ซึ่งจากประเด็นการบริหารจัดการระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่มีการปรับปรุงสิทธิประโยชน์ให้ประชาชนเพิ่มขึ้น ไม่ได้เป็นประชานิยมครับ แต่เป็นการทำตามสิ่งที่เราเรียกว่า Patient-centered ซึ่งเราก็สอนให้นักศึกษาแพทย์รุ่นใหม่มีความคิดแบบนั้นมิใช่หรือ ประชาชนได้ประโยชน์จากการฟอกไตใกล้บ้านประชาชนได้ประโยชน์จากการรักษามะเร็ง ที่ไม่ต้องเดินทางไกลและไม่ต้องรอคิวนาน ประชาชนได้รักษาใส่สายสวนหัวใจ ได้ผ่าตัดหัวใจ ได้สวนเส้นเลือดที่อุดตันที่สมอง ได้ยาสลายลิ่มเลือดที่อุดตันในสมองอย่างทันท่วงที ประชาชนที่ป่วยติดเตียงได้รับแพมเพิร์สแผ่นรองฟรี ประชาชนได้ความสะดวกจากการปรับระบบมาเป็น 30 บาท รักษาทุกที่ และจะมาเป็นรักษาถึงที่ในอนาคต ประชาชนที่เจ็บป่วยเล็กน้อยเริ่มไปรับยาที่ร้านขายยาตามสิทธิได้ฟรี เพิ่มความเข้มแข็งให้กับ อสม. เพื่อช่วยขับเคลื่อนระบบการแพทย์ปฐมภูมิ แบบนี้จะบอกว่าไม่ดีหรือ" นพ.เอกภพ ระบุ

...

นพ.เอกภพ ระบุต่อว่า "แล้วในส่วนของบุคลากรที่มีการบรรจุเป็นข้าราชการครั้งใหญ่ถึงกว่า 40,000 อัตรานี่ไม่ได้ทำเพื่อคนที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์หรือ แล้วที่อ้างถึงเรื่องโควิดที่อ่านแล้วคล้ายกับว่า จะกล่าวหาว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน นี่อยากรู้จริงๆ ว่ามีข้อมูลหรือไม่ว่าเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนตรงไหน ใครมีข้อมูลส่งมาให้ผมได้นะครับ เพราะผมมีข้อมูลที่ได้จากกรรมาธิการการสาธารณสุขพอสมควร ซึ่งพอจะแสดงให้เห็นได้ว่า กลุ่มคนที่น่าสงสัยจะได้ประโยชน์เป็นกลุ่มไหน ซึ่งผมได้เคยเขียนถึงและพูดถึงอยู่หลายครั้ง และเรื่องของการโยกย้ายข้าราชการในกระทรวง นี่ข้อความของอาจารย์ดูเหมือนจะไปละม้ายคล้ายกับที่เคยมีคนบางกลุ่มใช้ เนื่องมาจากกลุ่มนั้นเสียประโยชน์ จากการโยกย้ายจึงออกมาโจมตีการโยกย้าย หรือที่อาจารย์เขียนถึงเรื่องนี้เพราะฟังเขาเล่ามา"

"ส่วนเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าที่บอกว่าเกียร์ว่าง นี่ใครกันที่เกียร์ว่าง ทั้งที่เห็นกันอยู่ว่าที่แบนกันอยู่ทุกวันนี้มันเป็น "แบนทิพย์" เป็นการแบนเพื่อไปขอรางวัลจากต่างประเทศว่าเราเป็นประเทศที่แบนบุหรี่ไฟฟ้า แต่สภาพในประเทศคือควบคุมอะไรไม่ได้ ทำไมไม่ยอมให้มีการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าเหมือนที่ควบคุมบุหรี่ล่ะ เพราะถ้าบอกบุหรี่ก็คุมไม่ได้ก็เปลี่ยนให้คนอื่นมาทำเถอะครับ งบประมาณปีละ 3-4 ร้อยล้านบาท ไม่ใช่น้อยนะ แล้วที่ผ่านมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขก็แข่งขันในเรื่องนี้ตามข้อเสนอของพวกท่านมิใช่หรือ ถ้าจะให้ใส่เกียร์เดินหน้าก็ลองไปดูข้อเสนอของการศึกษาในหลายชุดที่สรุปแล้วดูได้ครับว่า จะเดินหน้าเต็มที่ได้ยังไง" นพ.เอกภพ ระบุ

นพ.เอกภพ ระบุต่อว่า "ผมมีของแถมด้วยครับว่า จากการทำงานในช่วง 4 ปี ที่ผ่านมา ผมมีข้อมูลผังความเชื่อมโยงของเครือข่ายอยู่เครือข่ายหนึ่ง ที่ได้ผลประโยชน์จากงบประมาณด้านสาธารณสุขมานาน เหมือนที่ผมเคยได้อภิปรายในสภา ซึ่งมีการตั้งตนเป็นผู้เชี่ยวชาญเข้ามาบริหารจัดการงบประมาณ ผ่านเครือข่ายทั้งในกระทรวงสาธารณสุขและในหน่วยงานตระกูล ส. โดยมีการกระจายให้คนในกลุ่มของตนทั้งงบวิจัย ทั้งงบทำงาน และบางครั้งกระจายงบไปถึงมูลนิธิที่ตั้งขึ้นมาทำงานเป็นเครือข่าย คนกลุ่มนี้ต่างหากที่ผ่านมาไม่มีใครกล้าแตะ แต่ผมกล้าและผมจะทำต่อครับ"