“โอมิครอน” นั้นแตกหน่อต่อยอดจนถึงปัจจุบันเกิดสายพันธุ์ย่อยไปแล้วมากถึง 1,327 สายพันธุ์ย่อย...แนวโน้มของโลกตอนนี้“XBB.1.5” ลดลงต่อเนื่อง แต่อีกหลายตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น XBB.1.16 XBB.2.3 XBB.1.9 ฯลฯ

ยิ่งหากป้องกันตัวกันน้อย ติดกันมาก แพร่กันมาก ยิ่งเป็นตัวเร่งให้การระบาดควบคุมได้ยากในภาพรวม...ภาวะป่วย ตาย และทุพพลภาพ ก็จะเป็นผลลัพธ์และผลกระทบที่เกิดขึ้นตามมา

สะท้อนภาพใกล้ตัว...ดูระดับการป้องกันตัวของพ่อค้า แม่ค้า ลูกค้า ในตลาดสดแถวบ้านกว่า 60% น่าเป็นห่วง ประเมินมุมไหนก็ออกมาว่า การติด การป่วย คงมีแนวโน้มถีบตัวสูงมาก

“เรื่องคุณภาพชีวิต สถานะสุขภาพถดถอย การป่วยกระเสาะกระแสะ โรคเรื้อรัง จะเป็นภาระระยะยาวที่ควรเตรียมรับมือ” รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ ว่า...it’s your choice...มันเป็นทางเลือกของคุณ?

การศึกษาเผยแพร่ใน PNAS (22 พ.ค.2566) พบว่าในแต่ละนาที คนสูงอายุ 60-76 ปี จะมีการพ่นละอองฝอยออกจากทางเดินหายใจในจำนวนที่มากกว่าคนวัย 20-39 ปี ราว 2 เท่า ไม่ว่าจะเป็นช่วงพักหรือเป็นช่วงออกกำลังกาย...หากวัดในเชิงปริมาตร คนสูงอายุจะมีปริมาตรละอองฝอยที่ออกมามากกว่าถึง 5 เท่า

รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์
รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์

...

ผลการศึกษานี้เน้นย้ำให้เราเห็นความสำคัญในการป้องกันตัว ยิ่งในคนสูงอายุก็ควรใส่หน้ากากอย่างถูกต้อง เพราะนอกจากเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อแล้วป่วยรุนแรงแล้ว หากติดเชื้อก็จะสามารถแพร่ละอองฝอยไปยังลูกหลานได้มากเช่นกัน

นอกจากนี้แล้วยังคงต้องย้ำเตือนถึงข้อมูล องค์ความรู้สำคัญที่เกี่ยวโยงกับการรับมือป้องกันไวรัสร้าย “โควิด–19” นั่นก็คือ...“ไม่ควรหลงเชื่อคำลวงว่าอาหารเสริม สมุนไพร หรือแม้แต่ Andrographolide...ที่มีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันขนาดโน่นนี่นั่น จะช่วยป้องกันหรือรักษาโรคโควิด-19 ได้”

เพราะในปัจจุบัน ไม่มีงานวิจัยที่ได้รับการพิสูจน์ตามมาตรฐานทางการแพทย์ที่เป็นที่ยอมรับระดับสากล ขอให้จดจำบทเรียนคำลวงทั้งเรื่องกัญชา ยาฆ่าพยาธิ ยาจิตเวช และอื่นๆ ที่ถูกเคลมให้มีสรรพคุณเว่อร์วัง แต่สุดท้ายแล้วก็หายจ้อย และได้รับการพิสูจน์ชัดเจนว่าไม่ได้ผล

“โปรดใช้ความรู้ที่ถูกต้อง ได้มาตรฐาน เป็นเข็มทิศนำทางช่วยในการตัดสินใจประพฤติปฏิบัติตัวให้เหมาะสม เพื่อให้เรามีสวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิตท่ามกลางวิกฤตการณ์ที่ยาวนานต่อเนื่องเช่นนี้”

การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่ประมาท ป้องกันตัวเสมอระหว่างใช้ชีวิตประจำวัน รับวัคซีนให้ครบตามกำหนด และรีบแยกตัวเพื่อไปตรวจรักษาอย่างถูกต้องตามมาตรฐานทางการแพทย์...ช่วยกันยุติการแพร่ข่าวลวงด้วยความเชื่องมงาย ที่จะส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อสังคมวงกว้าง

ข้อมูลจาก GISAID (Cr: Rajnarayanan R) พบว่า “โควิด–19” สายพันธุ์ย่อย “XBB.1.16” มีรายงานตรวจพบเพิ่มขึ้นเป็น 64 ประเทศทั่วโลก โดยมีสัดส่วนแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาคของโลก

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลการสุ่มตรวจสายพันธุ์ไวรัสของไทยจากฐานข้อมูลของ cov–spectrum พบว่า การระบาดของไทยเกิดจากกลุ่มสายพันธุ์ย่อย XBB.x ครองสัดส่วนถึง 90.49% โดยมีสายพันธุ์ย่อยมากถึง 60 สายพันธุ์ย่อย

ทั้งนี้ XBB.1.16 พบมากสุดราว 18.67% ตามด้วย XBB.1.5 10.73% และ XBB.1.9.1 9.87% ในขณะที่พบ XBB.2.3.x ด้วย รวมราว5.37%

ด้วยสถานการณ์ลักษณะซุปสายพันธุ์ที่หลากหลายเช่นนี้ โดยการมีทั้งเคสติดเชื้อ ป่วย ตาย จำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็วในหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งๆที่สัดส่วนสายพันธุ์ย่อยแตกต่างกันไม่มาก จึงต้องตีระฆังปักธง เตือนให้ระวังให้ดี เพราะระลอกที่เรากำลังเผชิญน่าจะเป็นผลจาก...

“ปัญหาพฤติกรรมป้องกันตัวระหว่างการใช้ชีวิตประจำวัน” รวมถึงระดับภูมิคุ้มกันที่ถดถอยลง และปัจจัยแวดล้อมทางสังคมมากกว่าเรื่องปัจจัยด้านสมรรถนะไวรัส

ต่อเนื่องด้วยงานวิจัยล่าสุดของทีม NIH ประเทศสหรัฐอเมริกา เผยแพร่ในวารสารการแพทย์ระดับสากล JAMA (25 พ.ค.2566) ที่ติดตามศึกษาในกลุ่มประชากรเกือบ 10,000 คน จากสถานพยาบาล 85 แห่ง ใน 33 รัฐของประเทศสหรัฐอเมริกา

สาระสำคัญคือ มีถึง 10% ที่เป็นผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติคงค้างระยะยาวนานกว่า 6 เดือน โดยพบอาการผิดปกติในระบบต่างๆของร่างกายราว 37 อาการ ดังที่เคยทราบกันมา เช่น อ่อนเพลีย...เหนื่อยล้า ปัญหาด้านความคิดความจำ และอื่นๆ

น่าสนใจว่า...“แนวโน้มการคงค้างของไวรัสในร่างกายดูยาวนานขึ้น”

...

ผนวกกับข้อมูลจากทีมงานจาก London School of Hygiene and Tropical Medicine สหราชอาณาจักรก็น่าสนใจ โดยผลการวิจัยใน medRxiv เปรียบเทียบให้เห็นว่า ในคนที่ติดเชื้อสายพันธุ์ต่างๆนั้นมีลักษณะการคงค้างของไวรัสในร่างกายที่แตกต่างกัน

ที่สำคัญคือ ในยุคที่ “โอมิครอน” ระบาดนั้น มีแนวโน้มของการคงค้างของไวรัสในร่างกายยาวนานกว่าสายพันธุ์เดลต้า

ย้อนไปช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา...ผลการศึกษาโดยทีมจากประเทศเยอรมนี เผยแพร่ในวารสารการแพทย์ Brain and Behaviorสะท้อนว่า “ผู้ป่วย” ที่มีโรคทางสมองและระบบประสาท หากเกิดการติดเชื้อโรคโควิด-19 ก็จะมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าผู้ป่วยที่ไม่มีโรคทางสมองและระบบประสาทถึง 2 เท่า

ทั้งนี้ หากติดเชื้อแล้วเกิดปัญหาทางสมองหรือระบบประสาทเรื่องใหม่เกิดเพิ่มขึ้นระหว่างที่ป่วย จะมีโอกาสเสียชีวิตมากขึ้น 86% เมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่มีปัญหาใหม่เกิดขึ้น

นอกจากนี้ กลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคทางสมองและระบบประสาทอยู่เดิมก่อนติดเชื้อ เมื่อเกิดการติดเชื้อจะเสี่ยงที่จะประสบปัญหาทางสมองหรือระบบประสาทเรื่องใหม่เกิดขึ้น มากกว่ากลุ่มที่ไม่มีโรคอยู่เดิมถึง 73%

...

ดังนั้น คนที่มีโรคประจำตัวจึงต้องระมัดระวัง ป้องกันตัวให้ดีไม่ติดเชื้อหรือไม่ติดซ้ำย่อมดีที่สุด

ตอกย้ำความจริง...ความรู้ “XBB.1.16”...“โควิด–19 ไม่ใช่หวัดธรรมดาและไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่” ด้วยว่าไวรัสโรคโควิด-19 นั้นมีอัตราการกลายพันธุ์โดยมีการเปลี่ยนแปลงกรดอะมิโนที่เปลือกนอกของไวรัส เร็วกว่าไวรัสไข้หวัดใหญ่ถึง 2-2.5 เท่า เราจึงไม่แปลกใจที่เห็นการระบาดทั่วโลกที่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง

และ...มีการเปลี่ยนแปลงเกิดสายพันธุ์ใหม่มากมายและรวดเร็ว

ประการสำคัญ...ความรู้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์จนถึงปัจจุบันยังไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้เลยว่า ไวรัสโรคโควิด-19 นั้นจะยังคงสมรรถนะการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อย่างรวดเร็วเช่นนี้ไปอีกนานเท่าใด และยังไม่สามารถคาดการณ์ลักษณะการเปลี่ยนแปลงของไวรัสได้อย่างแม่นยำด้วย

นี่จึงเป็นอุปสรรคในการควบคุมป้องกันโรค “โควิด–19” รวมถึงทำให้การสร้างวัคซีนที่จะทันต่อไวรัสที่กลายพันธุ์ก็เป็นไปได้ยาก จำเป็นต้องเน้นย้ำเรื่องพฤติกรรมการป้องกันตัวของประชาชน และวิธีอื่นๆทางสาธารณสุขควบคู่กันไปด้วย.