มกอช. เจาะลึกช่องทางการค้า "ส่องโอกาสอเมริกาใต้ ตลาดเสรีที่ท้าทายภาคเกษตรไทย" เพื่อดูแนวทางที่เป็นประโยชน์ ต่อการพัฒนาขีดความสามารถและความร่วมมือที่เป็นโอกาสต่อการขยายตลาดสินค้าเกษตรไทย
เมื่อวันที่ 31 มี.ค.66 นายพิศาล พงศาพิชณ์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดการสัมมนา "ส่องโอกาสอเมริกาใต้ ตลาดเสรีที่ท้าทายภาคเกษตรไทย" เปิดข้อมูลมิติใหม่เกี่ยวกับตลาดละตินอเมริกาในยุค Post-COVID บนความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม และกรอบความตกลงการค้าเสรีที่เป็นโอกาสที่ไม่ควรมองข้าม ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ
โดย นายพิศาล กล่าวว่า ตลาดละตินอเมริกามีประชากรที่กำลังซื้อใกล้เคียงกับอเมริกาเหนือถึง 400 ล้านคน ซึ่งมีพฤติกรรมการบริโภคและความนิยมสินค้าใกล้เคียงกับชาวเอเชียอย่างเกินความคาดหมาย ด้วยสินค้าและโครงสร้างอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ จึงทำให้อเมริกาใต้โดยเฉพาะ 5 ประเทศเศรษฐกิจ คือ บราซิล ชิลี เปรู เอกวาดอร์ และอาร์เจนตินา ก้าวเป็นแหล่งทรัพยากรและปัจจัยการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรของโลก ทั้งในส่วนของสินค้าพืช ปศุสัตว์ ประมง ไปจนถึงวัตถุดิบอาหารสัตว์ และยังมีพัฒนาการที่น่าสนใจทั้งด้านอุตสาหกรรม การจัดทำความตกลงการค้าเสรีและตลาดร่วม เช่น Southern Common Market หรือ MERCOSUL บนพื้นฐานความหลากหลายของวัฒนธรรม และเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ประชากรที่มีทั้งกลุ่มยุโรป เอเชีย ไปจนถึงชนพื้นเมือง ทำให้เป็นโอกาสที่ธุรกิจควรให้ความสำคัญ และขยายช่องทางการค้าที่อาจเป็นขุมกำลังทางเศรษฐกิจ ที่สำคัญของประเทศไทยในอนาคตอันใกล้
นายพิศาล กล่าวต่อว่า ดังนั้นการการสัมมนาดังกล่าวจะประกอบด้วย 1.การบรรยายทิศทางการค้าและโอกาสต่อการค้ากับภูมิภาคอเมริกาใต้ โดย นางสาวจุฬาลักษณ์ เข็มทอง ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครซันติอาโก และ นางสาวพุทธชาติ วงษ์มงคล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครเซาเปาโล เพื่อวิเคราะห์มุมมองทั้งในฐานะพันธมิตรและคู่แข่งทางการค้า ในส่วนของสินค้าเกษตร อาหาร และพฤติกรรมผู้บริโภค 2. การบรรยายในหัวข้อความสัมพันธ์ของคู่ค้าหลักในเอเชีย ต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมในอเมริกาใต้ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบข้อมูลที่บ่งชี้โอกาสทางการค้าต่อประเทศเป้าหมายที่มีศักยภาพทางการค้า โครงสร้างสภาวะทางสังคมที่ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขัน เสถียรภาพและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตลอดจนถึงคาดการณ์โอกาสในการเข้าถึงตลาดท่ามกลางปัจจัยความท้าทาย ด้านเศรษฐกิจและสังคม โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวฤทธิ์ เชาว์แสงรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านลาตินอเมริกันศึกษาและคอลัมนิสต์ด้านเศรษฐกิจ-การเมือง-ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
...
นายพิศาล กล่าวต่อว่า 3.การบรรยายโอกาสทางการค้าและส่งออกส่วนประกอบอาหารที่ผู้บริโภคชาวบราซิลให้ความนิยม และผู้ประกอบการไทยอาจมองข้าม โดย Mr. Pedro Norio Egashira นักธุรกิจและเจ้าของร้านอาหารบราซิลในประเทศไทย ซึ่งได้หยิบยกวัตถุดิบพื้นฐานของบราซิลที่พบได้ในไทยและสามารถพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ส่งออกได้ เช่น มันสำปะหลัง (มันห้านาที) และมะม่วงหิมพานต์ในส่วนของผลซึ่งสามารถประกอบอาหารได้หลายชนิด และ 4.การบรรยายเกี่ยวกับกรณีศึกษาประเทศคู่ค้าที่มีศักยภาพของอเมริกาใต้ ได้แก่ บราซิล ชิลี เปรู เอกวาดอร์ โคลอมเบีย และอาร์เจนตินา รวมทั้งกรณีศึกษาสินค้าหรือสถานการณ์ที่สำคัญ ประกอบด้วยความสำเร็จของสมาคมผู้ส่งออกผลไม้ชิลีต่อตลาดคู่ค้า 100 ประเทศ อุตสาหกรรมกุ้งของเอกวาดอร์ ที่ปัจจุบันเป็นผู้ผลิตและส่งออกกุ้งอันดับ 1 ของโลก และพัฒนาการแก้ไขปัญหาความยั่งยืนทางการประมงของเปรู โดย นายวรพงศ์ วิไลรัตน์ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ กองนโยบายมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร มกอช. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเสริมความเข้าใจและทัศนคติเชิงบวกต่อตลาดอเมริกาใต้ ที่แม้จะมีความท้าทายแต่ก็เป็นตลาดที่มีศักยภาพ และสามารถรองรับสินค้าเกษตรและอาหารของไทยได้ รวมทั้งเปิดให้ผู้เข้าร่วมการสัมมนาแสดงความคิดเห็นต่อแนวทางพัฒนา และใช้ประโยชน์โอกาสทางการค้า ความร่วมมือทางวิชาการ และความตกลงการค้าเสรีในการส่งออกไปยังประเทศในอเมริกาใต้
"อเมริกาใต้ถือเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพ และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูง เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่ออุตสาหกรรมการผลิต รวมทั้งนโยบายทางการค้าที่ให้ความสำคัญต่อการเป็นตลาดเสรี ซึ่งในส่วนของประเทศที่ไทยมีความสัมพันธ์ทางการค้าในระดับความตกลงการค้าเสรีทวิภาคี ได้แก่ ชิลีและเปรู ที่เป็นแหล่งทรัพยากรปัจจัยการผลิตที่สำคัญ และได้รับการใช้ประโยชน์ความตกลงการค้าเสรีในระดับสูง รวมทั้งหลายประเทศยังมีความพร้อมที่จะพัฒนาขอบข่ายความร่วมมือทางวิชาการ ทั้งในด้านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช ด้านการเกษตร ตลอดจนถึงการแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญในระดับอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาขีดความสามารถและความร่วมมือที่เป็นโอกาสต่อการขยายตลาด วงจรการผลิต และการลงทุนระหว่างประเทศที่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจระหว่างกันในอนาคต" เลขาธิการ มกอช. กล่าว