พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯสถาปนาสมณศักดิ์รองสมเด็จพระราชาคณะ “พระมหาเอื้อน หาสธมฺโม (เปรียญธรรม 9 ประโยค)” อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยาที่ราชทินนาม “พระพรหมดิลก” หลังพ้นมลทินทุกคดีเงินทอนวัด ให้ถือว่าไม่เคยถูกถอดถอนสมณศักดิ์และราชทินนามมาก่อน ขณะที่เจ้าตัวได้กลับสู่สมณเพศมาตั้งแต่ 23 ก.ย.2563

เมื่อวันที่ 18 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราชกิจ จานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์ ความว่าพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณมหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรม ราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า ตามที่พระพรหมดิลก (เอื้อน กลิ่นสาลี) ถูกกล่าวหาว่ากระทําผิดอาญาและได้มีพระบรมราชโองการถอดถอนสมณศักดิ์ เมื่อวันที่ 29 พ.ค.2561 นั้น บัดนี้ คดีถึงที่สุดแล้ว พฤติการณ์ถือได้ว่าไม่ใช่ความผิดอุกฉกรรจ์ หรือความผิดร้ายแรง หรือเป็นผู้ร้ายสำคัญ ประกอบกับ ไม่มีการกล่าวคำลาสิกขา และไม่มีการดำเนินการให้สละสมณเพศ ทั้งปรากฏข้อเท็จจริงว่า ยังคงดำรงตนอย่างพระภิกษุโดยตลอดระหว่างถูกคุมขัง จึงมีสภาวะเป็นพระภิกษุ มีสถานะเป็น พระมหาเอื้อน หาสธมฺโม (เปรียญธรรม 9 ประโยค) มหาเถรสมาคมมีมติรับทราบแล้วเมื่อวันที่ 10 มี.ค.2566

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 ตรี แห่ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2561 ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาให้ พระมหาเอื้อน หาสธมฺโม (เปรียญธรรม 9 ประโยค) ดำรงสมณศักดิ์ พระราชาคณะเจ้าคณะรอง มีราชทินนามตามที่จารึกในหิรัญบัฏว่า “พระพรหมดิลก ปริยัตินายกคณาทร บวรศาสนกิจวิธาน ศีลสมาจารนิวิฐ ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี” สถิต ณ วัดสามพระยา พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร ให้ถือว่าไม่เคยถูกถอดถอนสมณศักดิ์และราชทินนามมาก่อน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 17 มี.ค.2566 ประกาศ ณ วันที่ 18 มีนาคม พุทธศักราช 2566 เป็นปีที่ 8 ในรัชกาลปัจจุบัน

...

สำหรับพระพรหมดิลก เป็นลูกศิษย์ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินฺธโร ป.ธ.9) วัดสามพระยา เสาหลักการศึกษาบาลีของคณะสงฆ์ไทย เคยเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร เป็นเจ้าอาวาสวัดสามพระยาและอาจารย์ใหญ่สำนักเรียนวัดสามพระยา ถูกดำเนินคดีเนื่องจากถูกกล่าวหาว่ากระทำการทุจริตและถูกดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริตงบอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา หรือที่เรียกว่าคดีเงินทอนวัด ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่มีความเป็นธรรมตั้งแต่ต้น และไม่ได้รับความเป็นธรรมทั้งทางพระธรรมวินัยและทางกฎหมาย กล่าวคือเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ออกหมายเรียก แต่นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้ามาจับกุมตัวเลย ส่วนขั้นตอนตามพระธรรมวินัยยังไม่ได้ดำเนินการ เพราะอดีตพระพรหมดิลกเป็นถึงกรรมการมหาเถรสมาคม ตามขั้นตอนต้องกราบทูลสมเด็จพระสังฆราช และตั้งคณะวินัยธรขึ้นมาสอบสวนก่อน หากพบว่ามีความผิดจึงดำเนินการกล่าวโทษทางอาญา

ต่อมาได้ลาสิกขาเมื่อวันที่ 24 พ.ค.2561 พร้อมต่อสู้คดีจนศาลได้พิพากษายกฟ้องและคดีถึงที่สุดแล้วทั้งคดีความผิดต่อ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน คดีความผิดฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานกระทำผิด ตามมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญา ทุกคดีศาลพิพากษาแล้วว่าไม่มีความผิด และทุกคดีถึงที่สุดแล้ว จึงได้คืนสู่สมณเพศ เมื่อวันที่ 23 ก.ย.2563 ณ พระอุโบสถวัดสามพระยา มีชื่ออย่างพระสงฆ์ทั่วไปว่าพระมหา เอื้อน หาสธมฺโม กระทั่งวันที่ 18 มี.ค.2566 มีประกาศพระบรมราชโองการฯ คืนสมณศักดิ์ รองสมเด็จพระ ราชาคณะ ในราชทินนาม “พระพรหมดิลก” ตามเดิม