ผมอ่านเรื่อง“ทุบเสียด้วยท่อนจันทน์” ในหนังสือ “นิทานมิบ” (พิมพ์คำสำนักพิมพ์ พิมพ์ครั้งที่ 2 พ.ศ.2557) แล้วสะดุดใจ ทำไมคราวนี้จึงเข้าใจประวัติศาสตร์ตอนสำคัญได้รวดเร็วกว่าทุกๆครั้ง

พลิกไปหาคำนำ เอนก นาวิกมูล เขียนเรื่องนี้ ตีพิมพ์ในนิตยสาร สตรีสาร เมื่อ พ.ศ.2529 ด้วยเหตุที่ฉบับนั้นเป็นสตรีสารภาคเด็ก อาจารย์นิลวรรณ ปิ่นทอง บก.ขอให้เขียนด้วยภาษาพูด เข้าใจง่าย

และเรื่องยากๆที่เขียนแบบตั้งใจให้เด็กอ่านง่ายๆ คุณเอนก เรียบเรียงจากคำให้การขุนหลวงหาวัด ฉบับหลวงก็กลายเป็นหนังสือขายดี ได้รับการตีพิมพ์เป็นเล่มครั้งแรก สำนักพิมพ์สารคดี ครั้งที่สอง พิมพ์คำสำนักพิมพ์

หากคุณสงสัย ทำใจให้เป็นเด็ก แล้วลองอ่านกันดู

ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อราวๆ 300 ปีมาแล้ว พระศรีศิลป์ ผู้เป็นพระภาติยะ (หลาน) พระนารายณ์คิดขบถ จะแย่งราชสมบัติถึงสองคราว

คราวแรกพระศรีศิลป์เอาพระแสง (แปลว่าอาวุธ) จะแทงพระนารายณ์ พระนารายณ์ทรงจับฉวยป้องกันพระองค์เอาไว้ได้ แต่เห็นว่าเป็นโอรสของพระไชยาทิตย์ ผู้เป็นเชษฐาที่รัก (พี่ชาย)

ก็ทรงงดโทษเสียทีหนึ่งก่อน

คราวหลังพระศรีศิลป์ทำการร้ายอีก โดยวันหนึ่งถือพระแสงไปยืนแอบอยู่หลังบานประตูที่พระนารายณ์จะเสด็จเข้าไป บังเอิญมีพนักงานไปพบเห็นเข้าก่อน พระศรีศิลป์จึงถูกจับตัวได้

ครั้งนั้นพระนารายณ์ไม่ทรงงดโทษให้อีกแล้ว

โปรดเกล้าฯให้นายเพชฌฆาตนำตัวพระศรีศิลป์ไปประหารชีวิต เสียตามธรรมเนียม

วิธีประหารชีวิตเจ้านาย เพชฌฆาตต้องเอาเชือกมัดพระองค์เสียก่อน แล้วจับลงใส่ขันสาคร คือขันขนาดใหญ่ที่ใส่น้ำอาบ แล้วเอาทั้งขันทั้งคนใส่ลงในถุงแดงนำไปฝังเสียทั้งเป็น

...

มีคนเฝ้าดูอยู่กว่าจะครบ 7 วันจึงไป

ฝ่ายพระศรีศิลป์ เมื่อถูกฝังทั้งเป็นครบ 7 วันแล้ว มหาดเล็กผู้หนึ่งมีใจภักดีลอบไปขุดหลุมที่ฝังพระศรีศิลป์ดู ปรากฏว่าพระศรีศิลป์กลับยังไม่ตายก็เอาขึ้นมา ช่วยพาหลบไปซ่อนที่อื่น

พระศรีศิลป์จึงทำการซ่องสุมผู้คนคิดขบถอีกเป็นคราวที่ 3

คราว 3 พระศรีศิลป์รวมพลเข้าตีพระราชวังของพระนารายณ์เวลาพลบค่ำ พระนารายณ์เสด็จออกมาต่อสู้เป็นการสามารถจนกระทั่งรุ่งเช้า

พระนารายณ์มีพระอานุภาพกล้าแข็งกว่า จึงจับตัวพระศรีศิลป์ได้เป็นคำรบสาม

ครั้งนั้น เสร็จการแล้ว จึงโปรดเกล้าฯให้เพชฌฆาตประหารพระศรีศิลป์อย่างใหม่

คือให้เอาตัวมาทุบเสียด้วยท่อนจันทน์ คือไม้จันทน์ท่อนใหญ่ พอตายแล้วจึงเอาไปใส่ขันสาครและถุงแดง ไปฝังไม่ต้องฟื้นอีก

การทุบเจ้านายด้วยท่อนจันทน์ ก็เริ่มมีแต่ครั้งสมเด็จพระนารายณ์นั้นเป็นต้นมา

เด็กๆรุ่นก่อนๆ ถูกสอนด้วยเรื่องเล่าที่ฟังง่าย อ่านง่ายทำนองนี้ล่ะครับ จึงดูจะเข้าใจวิถีชีวิตแบบไทยๆได้ถึงรากเหง้า อย่างน้อยก็รู้ว่าการประหารชีวิตเจ้านายสมัยโบราณแตกต่างจากการประหารชีวิตคนธรรมดายังไง

และแน่นอนเด็กๆถูกสอนให้ว่า การคิดขบถทรยศ ไม่ว่าต่อบ้านเมือง หรือต่อคนด้วยกัน ไม่ใช่เรื่องที่ควรคิดควรทำ การสอนเรื่องยากด้วยภาษาง่ายๆ เด็กๆรุ่นเก่า อย่างน้อยก็เก่ารุ่นผม จึงมักเป็นคนว่านอนสอนง่าย

คงแตกต่างจากเด็กๆสมัยใหม่กระมังครับ...ฟังภาษานักการเมือง ที่พูดกันแต่เรื่องยากๆซ้ำซากมากๆ จึงมักเป็นเด็กสับสนซับซ้อน เรียนในโรงเรียนไม่สนุก หลายคนจึงสนุกกับแบบเรียนบนท้องถนน.

กิเลน ประลองเชิง