สั่งให้ออกจากราชการแล้วทั้ง พ.ต.อ.หญิงภรรยา “ตู้ห่าว-ชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์” รอง ผบก.น.6 รอง ผกก.จร. สน.ลาดพร้าว พนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา และพลขับ รวม 6 นาย ชี้ชัดพัวพันคดีกลุ่มจีนสีเทา “บิ๊กเด่น” ผบ.ตร. ยันไม่มีมวยล้ม ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดได้ทันกำหนดแน่นอน ขณะที่ “รองโจ๊ก” รอง ผบ.ตร. เตรียมล้างบาง สตม.ขนานใหญ่ พบตำรวจระดับผู้บังคับการทั้งอดีตและปัจจุบันพร้อมทีมงานช่วยเหลือกลุ่มจีนสีเทาออกวีซ่าให้แบบผิดกฎหมาย ใช้มูลนิธิต่างๆบังหน้า รวมทั้งปลอมลายเซ็น เรียกทั้งหมดมารับทราบข้อหาภายในสัปดาห์หน้า

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 12 ม.ค. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เปิดเผยความคืบหน้าคดีกวาดล้างกลุ่มธุรกิจจีนสีเทาเครือข่าย “ตู้ห่าว” นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ ว่า ขณะนี้การสอบสวนเกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว เตรียมสรุปสำนวนเสนออัยการสูงสุดภายใน 1-2 วัน อยู่ในกรอบระยะเวลาที่อัยการสูงสุดจะต้องเสนอส่งให้ศาลภายใน 20 ม.ค. ตำรวจสอบสวนร่วมกับอัยการอยู่แล้ว มีคณะของอัยการสูงสุดมาให้คำแนะนำหรือดูแล ส่วนตัวมั่นใจในพยานหลักฐานเพียงพอที่จะลงโทษผู้กระทำผิดในคดีนี้ที่มีผู้ต้องหาหลัก 37 คน จับกุมได้ 19 คน หลบหนี 18 คน ไม่รวมคดีเสพสิ่งเสพติดต่างๆอีก 70 กว่าคน มั่นใจว่ามีหลักฐานทั้งพยานเอกสาร พยานบุคคลและพยานหลักฐานอย่างอื่นอีกจำนวนมาก รวมทั้งสอบปากคำพยานรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 400 ปาก

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์กล่าวอีกว่า กรณีที่มีตำรวจเข้าไปพัวพันเรื่องนี้ ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดในคดีนี้จะแบ่งเป็นคดีหลักคือคดีฟอกเงิน ซึ่งพ.ต.อ.หญิง วันทนารีย์ กรณ์ชายานันท์ ผกก.ฝ่ายความร่วมมือและกิจการระหว่างประเทศ กองการต่างประเทศ ภรรยาของนายตู้ห่าว-ชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ เกี่ยวข้องกับคดีหลักคือคดีฟอกเงิน ส่วนอีก 5 นาย ทั้ง พ.ต.อ.ณัฐพล โกมินทรชาติ รอง ผบก.น.6, พลขับ, รอง ผกก.จร.สน.ลาดพร้าว และพนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา 2 นาย มีการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงและส่งสำนวนการดำเนินคดีไปที่ ป.ป.ช. เป็นคดีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ เรียกรับสินบน ในส่วนอำนาจของ ผบช.น.สั่งให้ออกจากราชการตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค. ส่วนอำนาจของ ตร. คือ พ.ต.อ.หญิง วันทนารีย์ กรณ์ชายานันท์ ภรรยาของนายตู้ห่าว ทาง ตร.สั่งให้ออกจากราชการแล้วเช่นกัน ส่วนนายตู้ห่าว-ชัยณัฐร์ได้แจ้งข้อหาฟอกเงินไปเรียบร้อยแล้ว

...

“สำหรับประเด็นรถทัวร์ที่เป็นของหลานนายกฯ ผมสั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงไปแล้ว ได้ข้อมูลจาก ป.ป.ส.มาส่วนหนึ่งว่า รถทัวร์ที่หลานนายกฯไปทำธุรกรรมเช่าซื้อ เพื่อทำธุรกิจท่องเที่ยวตั้งแต่ปี 62 ประมาณ 33 คัน จากจำนวนหลายร้อยคันที่นายตู้ห่าวได้ทำธุรกิจ ส่วนคดีสถานบริการ “จินหลิง” เป็นคดีสมคบยาเสพติดคดีองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พบหลักฐานความเกี่ยวเนื่องย้อนไปถึงปี 63 ซึ่งเรื่องรถทัวร์เป็นการเช่าซื้อก่อนกระทำความผิดไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้โดยตรง ผมเตรียมประสานข้อมูลกับ ป.ป.ส. เพิ่มเติมในเรื่องความเกี่ยวเนื่องของทรัพย์สิน รวมทั้ง ปปง.ในประเด็นเส้นทางการเงิน หากมีความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบ ยืนยันคดีนี้ไม่มีมวยล้มต้มคนดูแน่นอน ที่ตำรวจไม่บอกทุกขั้นตอนเพราะเกรงผู้ที่วางแผนต่อสู้คดีจะรู้ตัว” พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์กล่าว

วันเดียวกัน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง ตั้งคำถามการดำเนินคดีกับอดีตผู้บังคับการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือกลุ่มธุรกิจจีนสีเทา ว่า ในส่วนของตำรวจ ตม. ทั้งอดีตผู้บังคับการและผู้บังคับการคนปัจจุบัน หรือเจ้าหน้าที่ทั้งหมดได้สืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานจนสิ้นเสร็จและนำเรียนกับ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. แล้ว จากการสืบสวนตามพยานหลักฐาน ตรวจพบการกระทำความผิดต่างๆชัดเจน ทั้งการต่อวีซ่าโดยใช้มูลนิธิต่างๆบังหน้า การออกวีซ่าในรูปแบบของการใช้โรงเรียนต่างๆ หรือแม้แต่การปลอมลายเซ็นของข้าราชการระดับสูง นอกจากนี้ ยังลักลอบใช้บ้านหรือเล้าไก่ตั้งเป็นมูลนิธิ ตรวจพบการกระทำผิดในลักษณะนี้พอสมควร รวมทั้งยังพบตำรวจ ตม.บางนายเป็นเจ้าของมูลนิธิเอง และใช้เอเย่นต์ทำหลักฐานเท็จทั้งหมด ผบ.ตร.สั่งการให้ดำเนินคดีกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดอย่างเด็ดขาด เตรียมเรียกทั้งหมดมาแจ้งข้อหาภายในสัปดาห์หน้า ตั้งแต่ผู้บังคับบัญชา ระดับสูงหัวหน้าสถานีและผู้ปฏิบัติทั้งหมด

ขณะที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โพสต์เฟซบุ๊กมีข้อความโดยสรุปว่า “จุดเปลี่ยน คดีตู้ห่าว” หลังจากประชาชนอย่างผมมีโอกาสพบนายกฯประยุทธ์เพียง 3 วัน เรื่องราวจีนเทาก็มาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ ผบ.ตร.ที่ดูเหมือนภายนอกอ่อน เริ่มแข็งเด้งรับทันควัน มีผู้ใหญ่ที่ผมเคารพเคยเตือนผมแล้วว่า ระบบราชการไทยหากต้องการให้ได้ผลแน่นอน ต้องไปที่จุดสูงสุดขององคาพยพหน่วยงานรัฐคือนายกรัฐมนตรี ตอนนั้นผมได้แต่นึกในใจว่า ประชาชนอย่างผมจะไปพบนายกฯประยุทธ์ได้ด้วยวิธีไหน ผมเลยไปนั่งอยู่ข้างถนนจนนายกฯให้เข้าพบ หลังจากนั้นทุกอย่างมันเดินหน้าอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ 3 วันเท่านั้น ใครจะว่าผมยังไงก็ช่าง “ชูวิทย์จะหาทางลง ชูวิทย์เปลี่ยนไป ชูวิทย์ถูกนายกฯเป่ากระหม่อม” ผมไม่ได้โกรธ เพราะคนอย่างผมไม่ได้มีตำแหน่ง ไม่คิดเล่นการเมือง ไม่ได้หวังเติบโตใดๆ

แต่ผมพูดประโยคหนึ่งที่ทำให้นายกฯเข้าใจ “ท่านควรสั่งการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เพราะท่านเป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้วและสิ่งนี้จะพิสูจน์ถึงความจริงว่าท่านดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา” ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ชูวิทย์ได้พิสูจน์ในนามประชาชนว่า ผมทำได้ดีที่สุดแล้ว ต่อแต่นี้ไปถึงตา “ผู้แทน” ปวงชนชาวไทยได้ทำงาน เพราะกินเงินเดือนภาษีอากร เสนอตัวรับใช้ประชาชนเรื่อง “จีนเทา” ดำเนินการไปสู่สภา ล้มกระดานนับ 1 ใหม่ เป็นเป้าหมายที่ผมว่าไว้ตั้งแต่ต้น ถึงวันนี้ใกล้ถึงเป้าหมายแล้ว

มีรายงานว่าในวันที่ 13 ม.ค. เวลา 09.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.จะเดินทางไปส่งสำนวนคดีดังกล่าว ให้อัยการสูงสุด ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ