อธิบดีอัยการสำนักงานสอบ สวน-รองโฆษกสำนักงานอัยการ สูงสุด-ผบ.ตร.ร่วมชี้แจงความคืบหน้าการสอบสวนคดีจับกุมสถานบันเทิง “จินหลิง” หลังประชุมร่วมกับอัยการสูงสุด ยืนยันสำนวนของตำรวจครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่บกพร่องตามที่เป็นข่าว “บิ๊กเด่น” ผบ.ตร. ระบุเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีนี้ไม่ใช่ ผบช.น.อย่างที่เข้าใจกัน สั่งตั้งจเรตำรวจแห่งชาติเป็นประธานกรรมการ ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่ถูกระบุตำรวจทำสำนวนอ่อนแล้ว เตรียมสรุปสำนวนเสนออัยการสูงสุดพิจารณา ฟ้องคดีต่อศาลได้ก่อนวันที่ 20 ม.ค.
ที่สำนักอัยการสูงสุด เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 4 ม.ค. นายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานสอบสวน นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ร่วมแถลงข่าวความคืบหน้าการสอบสวนคดีการเข้าจับกุมสถานบันเทิง “จินหลิง” หลังเข้าร่วมประชุมกับคณะทำงานของอัยการในการ กำกับการสอบสวนคดีนี้นานกว่า 1 ชั่วโมง
นายโกศลวัฒน์เปิดเผยว่า ตามที่อัยการสูงสุด มีคำสั่งมอบหมายให้พนักงานสอบสวน บช.น. บช.ก. บช.ปส. บช.สอท. และพนักงานอัยการ สำนักงานการ สอบสวน สำนักงานคดียาเสพติด สำนักงานต่างประเทศ ร่วมสอบสวนในคดีนี้และให้ ผบ.ตร. เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ กระทั่งวันนี้เวลา 09.30 น. มีการประชุมคณะทำงานกำกับการสอบสวนและการดำเนินคดีสำคัญ มี น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ในฐานะที่ปรึกษาเข้าร่วมประชุม ทั้งนี้ นายสมเกียรติ คุณวัฒนานนท์ รองอัยการสูงสุด หัวหน้าคณะทำงาน และคณะทำงาน รายงานความคืบหน้าการสอบสวนคดี พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการดำเนินการ สืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอาญากรุงเทพใต้ออกหมายจับผู้ต้องหา รวม 25 หมาย จับกุมผู้ต้องหาได้ 17 คน ต่อมาวันที่ 31 ธ.ค.65 ขอศาลอาญากรุงเทพใต้ออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก 12 หมาย ในความผิดสมคบกันเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและได้มีการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้สมคบกัน การกระทำมีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรม ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 ประเภท 2 ไว้ในครอบครองและจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ รวมทั้ง ข้อหาสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิด ฐานฟอกเงินและกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้สมคบกัน ร่วมกันฟอกเงิน จำนวน 2 หมาย และความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินจำนวน 10 หมาย จับกุมผู้ต้องหาได้ 2 คน คณะทำงานอยู่ระหว่างขยายผลดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง
...
นายกุลธนิตกล่าวว่า คดีนี้มีการรวมสำนวนเป็นสำนวนเดียวจาก 5 สำนวน เพราะเป็นพฤติการณ์ร่วมกันกระทำความผิด ส่วนการสอบสวนคาดแล้วเสร็จ ภายในกรอบเวลาการฝากขังผู้ต้องหา ก่อนเสนอให้ อัยการสูงสุดพิจารณาสำนวน สำหรับสำนวนการสอบสวน เมื่อพนักงานอัยการได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมสอบสวน ขั้นตอนแรกที่ดำเนินการก็คือการนำสำนวนของพนักงาน สอบสวนทั้งหมดมาตรวจสอบดูสภาพสำนวนเป็นอย่างไร สอบสวนอย่างไรบ้างแล้ว จากการตรวจสอบของพนักงานอัยการพบสำนวนของตำรวจมีความครบถ้วนสมบูรณ์พอสมควร พนักงานอัยการไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแต่มาหาจุดเชื่อมโยงในพยานหลักฐาน และพิจารณาออกหมายจับตามที่ปรากฏ
“พนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐานไว้ทั้งหมด แล้วตั้งแต่วันเกิดเหตุ มีเพียงรถยนต์จำนวนหนึ่ง ตอนนั้นยังไม่สามารถเปิดได้แต่เก็บหลักฐานภายนอกไว้ทั้งหมด กระทั่งวันที่เข้าไปตรวจสอบหาหลักฐานเพิ่มเติม ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) ได้เปิดตัว รถยนต์และเก็บหลักฐานภายในได้ทั้งหมด ส่วนคำถามที่ว่า เหตุใดไม่ไปดำเนินการฝ่ายเดียวนั้น เพราะทรัพย์สินทั้งหมดที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ป.ป.ส.ได้ยึด อายัดไว้ ดังนั้น การจะเข้าไปต้องมีการประสานให้ ป.ป.ส. เข้าไปด้วย เพื่อป้องกันข้อครหาในภายหลัง” นายกุลธนิตกล่าว
ขณะที่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์กล่าวว่า สำหรับประเด็นที่นายชูวิทย์ปล่อยคลิปต่างๆและออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของตำรวจเป็นระยะ ระบุว่า ตำรวจทำสำนวนอ่อนนั้น เรื่องนี้เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ชัดเจนกับประชาชน มีคำสั่งให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ มี พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ในทุกประเด็นเพื่อให้เกิดความกระจ่างแก่สังคม ต้องมารายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงภายใน 15 วัน ทั้งนี้ อยู่ระหว่างเชิญผู้แทนอัยการประมาณ 2-3 ท่าน เพื่อมาเป็นที่ปรึกษาในคณะนี้ด้วย
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์กล่าวด้วยว่า คดีนี้ยังมีหลายคนเข้าใจผิดว่า ผบช.น. เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน แต่ความจริงคือ ตั้งแต่ ผบช.น.ทำหนังสือไปให้อัยการสูงสุดพิจารณาเรื่องการกระทำความผิดของเครือข่ายนี้เป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ เมื่ออัยการสูงสุดพิจารณามอบหมายให้ตั้งคณะทำงานขึ้นมา 2 คณะ คณะแรกเป็นคณะทำงานกำกับดูแลการทำงาน มีรองอัยการสูงสุดเป็นประธานและให้ ผบ.ตร.กับอัยการสูงสุดเป็นที่ปรึกษา อีกคณะเป็นคณะทำงานด้านการสอบสวนร่วมกันระหว่างพนักงานอัยการกับตำรวจ มี ผบ.ตร.เป็นผู้รับผิดชอบลงนาม
“ในส่วนของตำรวจผู้มีส่วนเกี่ยวข้องช่วยเหลือผู้ต้องหาหลบหนีนั้น ขณะนี้ดำเนินคดีไปแล้ว 3 นาย ประกอบด้วย พนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา 2 นาย ตำรวจ สน.ลาดพร้าว 1 นาย รวมทั้งข้อหากับรองผู้บังคับการนครบาล 6 อีก 1 นาย ส่งสำนวนไปที่ ป.ป.ช. แล้ว 3 คดี ส่วนอีก 1 คดีอยู่ระหว่างดำเนินการ” พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์กล่าว
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) วันเดียวกัน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เปิดเผยถึง คดีนี้อีกครั้งว่า สังคมอาจเข้าใจคลาดเคลื่อนในคดีสถานบันเทิง “จินหลิง” ผบช.น.ยังทำหน้าที่เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน อยากเรียนให้ทราบ ตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค. อัยการสูงสุดมอบหมายให้ ผบ.ตร.เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ มีหน้าที่ลงนามทำความเห็นทางคดีในสำนวนการสอบสวน ให้ สอบสวนร่วมกับพนักงานสอบสวนในสังกัด บช.น. บช.ก. บช.ปส. บช.สอท. และพนักงานอัยการที่อัยการ สูงสุดมอบหมาย ผมดูแลการสอบสวนด้วยตัวเองอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอดร่วมกับพนักงานอัยการ เพื่อให้สำนวนขับเคลื่อนอย่างรวดเร็วและชัดเจนที่สุด ขอให้สื่อมวลชนและประชาชนมั่นใจ รวมทั้งเข้าใจให้ถูกต้องด้วยว่า ผบช.น.ไม่ได้เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีนี้แล้ว”
...
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ระบุด้วยว่า คดีนี้สอบพยานไปแล้ว 400 ปาก ยื่นคำร้องขอศาลอาญากรุงเทพใต้ ออกหมายจับรวม 37 คน มีทั้งข้อหาร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 จำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 และ 4 สมคบกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดฯและข้อหาฟอกเงิน จับกุมแล้ว 19 คน เหลืออีก 18 คน อยู่ระหว่างติดตามจับกุม ตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค. มีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาในคดีนี้ทั้งหมด 114 คน ในจำนวนนี้รวมคดีเสพด้วย เตรียมสรุปสำนวนเสนออัยการสูงสุดภายใน 2 สัปดาห์ นับจากนี้และอัยการสูงสุดจะพิจารณาฟ้องคดีต่อศาล ภายในวันที่ 20 ม.ค.
“ส่วนกรณีนายชูวิทย์แถลงต่อสื่อมวลชนถึงการปฏิบัติหน้าที่ของ ผบช.น.นั้น ตร.มีคำสั่งที่ 2/2566 ลงวันที่ 3 ม.ค.66 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อพิจารณาการดำเนินการสืบสวนสอบสวน ที่ผ่านมามีส่วนใดบกพร่องและทำให้คดีเสียหาย แต่งตั้ง พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจ แห่งชาติ เป็นประธานกรรมการ ให้ตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับแต่วันรับทราบคำสั่ง เพื่อความโปร่งใสเป็นธรรม ผมเชิญพนักงานอัยการเข้าร่วม เป็นที่ปรึกษาและให้ข้อมูลประกอบการตรวจสอบข้อเท็จจริงในครั้งนี้ด้วย” พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์กล่าว