"วิญญัติ" โวย อัยการคดีพิเศษ ขอเพิ่มพยานเอาผิดคดีชายชุดดำ ฝากถามอัยการสูงสุดทราบหรือไม่ มีทหารในเครื่องแบบ 4-5 นาย ขึ้นไปยังสำนักงานอัยการ ตั้งข้อสังเกตแทรกแซงคดี
เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 65 นายวิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการ สมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) ในฐานะทีมทนายความคดีชายชุดดำ(ภาค 2) เปิดเผยว่าสำหรับคดีนี้เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.212/2564 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายกิตติศักดิ์ หรืออ้วน สุ่มศรี ชาวกรุงเทพมหานคร, นายปรีชา หรือไก่เตี้ย อยู่เย็น ชาวจังหวัดเชียงใหม่ ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ซึ่งกระทำการตามหน้าที่โดยไตร่ตรองไว้ก่อน
โดยเมื่อวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา ทีมทนายความจำเลยซึ่งปฏิบัติหน้าที่เป็นทนายความขณะสืบพยานโจทก์นัดสุดท้ายคดีชายชุดดำภาคสองที่ศาลอาญา ทางอัยการโจทก์ได้ขอเพิ่มพยานพยานบุคคลในคดีอีก 1 ปาก ชื่อนายรณฤทธ์ สุริชา ซึ่งเป็นอดีตจำเลยในคดีชายชุดดำภาคแรกแต่กลับมาเป็นพยานโจทก์ ซึ่งทีมทนายความจำเลยได้คัดค้านพยานปากดังกล่าว เนื่องจากเป็นพยานที่ไม่ได้ผ่านการสอบสวนของพนักงานสอบสวนตั้งแต่แรก และการกันไว้เป็นพยานเพราะมีข้อเท็จจริงว่าพยานปากนี้น่าจะถูกจูงใจหรือขู่เข็ญให้ปรักปรำจำเลยในคดี ทั้งที่เคยเบิกความในศาลว่าตนเองไม่ได้กระทำความผิดและถูกทำร้ายร่างกายระหว่างถูกคุมขังในค่ายทหาร และการกันจำเลยไว้เป็นพยานโจทก์อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่พนักงานอัยการกลับขอนำพยานรายนี้ขึ้นสืบ ทั้งที่แต่เดิมที่ระบุในบัญชีพยานในชั้นตรวจพยานหลักฐานไม่มีพยานรายนี้ ซึ่งเรื่องนี้ทีมทนายที่ทำคดีรายงานด้วยว่า ก่อนจะมีการขอเพิ่มบัญชีพยานปากนี้ มีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นสำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก โดยมีทหารในเครื่องแบบ 4-5 นาย เดินทางมายังสำนักงานอัยการ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 พ.ย. และเดินทางมาอีกครั้งในวันที่ 2 พ.ย. ซึ่งแม้สุดท้ายศาลอาญามีคำสั่งไม่อนุญาตให้เพิ่มพยานรายนี้ แต่ตนต้องขอตั้งข้อสังเกตถึงพยานโจทก์รายนี้ มีใครอยู่เบื้องหลังไปคุยกับครอบครัวเขาหรือไม่ถึงออกมากลับคำให้การ และมีความสำคัญมากถึงขนาดทหารต้องมาอัยการเลยหรืออย่างไร
เลขาฯ สกสส. กล่าวด้วยว่า อยากเรียนถามไปยัง น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด ว่าได้มีทหารชุดหนึ่งไปขอหรือสั่งอะไรกับอัยการทนายแผ่นดิน จริงหรือไม่ “คดีชายชุดดำมีจำเลยหลายคน ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องแล้ว แต่ยังมีจำเลย 1 คน ถูกคุมขังอย่างต่อเนื่อง ไม่คืนอิสรภาพให้เขา เอาตัวมาฟ้องอีก 5 คดี อ้างเหตุการณ์เดียวกัน ทั้งที่พยานหลักฐานมันไม่มีอะไรเลย แต่กลับมีอดีตจำเลย 1 คน ที่ถูกยกฟ้องด้วยถูกกันไว้เป็นพยานเอาถ้อยคำมายันจำเลยที่ฟ้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะทำร้ายเขาและครอบครัวไปถึงไหนกัน” นายวิญญัติ ระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับคดีชายชุดดำคดีเเรกศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 16 ก.พ. 64 ที่ เป็นคดีที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายกิตติศักดิ์ หรืออ้วน สุ่มศรี ชาวกรุงเทพมหานคร, นายปรีชา หรือไก่เตี้ย อยู่เย็น ชาวจังหวัดเชียงใหม่, นายรณฤทธิ์ หรือนะ สุริชา ชาวจังหวัดอุบลราชธานี, นายชำนาญ หรือเล็ก ภาคีฉาย ชาวกรุงเทพมหานคร และนางปุนิกา หรืออร ชูศรี ชาวกรุงเทพมหานคร เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 8 ทวิ 55, 72, 78 และข้อหาพาอาวุธปืนไปในเมือง ที่ชุมชน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต
โดยคำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 จำเลยทั้ง 5 กับพวกที่ยังหลบหนี และพวกที่ถึงแก่ความตายไปแล้ว ได้บังอาจร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน โดยร่วมกันพาอาวุธ เครื่องกระสุน และวัตถุระเบิด ที่สามารถใช้ยิงทำอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินให้เกิดความเสียหายได้ อาทิ เครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม 79 ปืนเอ็ม 16 ปืนเอชเค 33 หรือ ปืนอาก้า ซึ่งนายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ไปตามบริเวณแยกคอกวัว ถนนตะนาว ถนนประชาธิปไตย แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กทม. ซึ่งเป็นเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ ทั้งในเวลาเกิดเหตุมีการชุมนุมกันของประชาชนจำนวนมาก ซึ่งวัน เวลาเกิดเหตุ เจ้าพนักงานยึดได้อาวุธสงครามของกลาง กระทั่งวันที่ 11 ก.ย. 2557 เจ้าพนักงานติดตามจับกุมพวกจำเลยทั้ง 5 ส่งพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินคดี
...
โดยศาลยกฟ้องโดยให้เหตุผลว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงมีความสงสัย