ล่า “ไอ้เช็ค โอรส” แก๊งยานรกห้อเก๋งชนดะรถชาวบ้าน ฝ่าวงล้อมสืบ บก.น.7 กลางสี่แยกไฟแดงหน้าห้างเดอะมอลล์ บางแคขนาดยิงยางแตกยังเอาไม่อยู่หนีไปได้ กลายเป็นคลิปว่อนโซเชียล ตำรวจเร่งประสานประกันภัยดูแลเจ้าของรถ 6 คันที่ถูกชนเสียหาย ด้านชุดจับกุมรายงานผลปฏิบัติ มาจากการขยายผลจับยาเสพติดในท้องที่ ก่อนเข้าจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 3 คน ที่หลบซ่อนในคอนโดใกล้ที่เกิดเหตุ ผลรวบได้ 2 คน พร้อมยาไอซ์ 1.6 กก. ส่วนไอ้เช็คไหวตัวหนีได้ตามคลิป ส่วน “บิ๊กป๋อ” บินถก ผบ.ยาเสพติดพม่า ขอความร่วมมือ 2 ประเด็น เรื่องการสกัดสารตั้งต้นที่ผ่านจากไทย และขอให้ช่วยจับกุมผู้ต้องหาหมายจับยาเสพติด แก้ไขปัญหายาเสพติดเชิงรุก
กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมแก๊งยาเสพติดสี่แยกไฟแดง หน้าห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางแค ถนนเพชรเกษม แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กทม.เมื่อเย็นวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา มีกล้องวงจรปิดหน้ารถประชาชนบันทึกไว้ได้และมีการแพร่ภาพไปในโซเชียล มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงการปฏิบัติครั้งนี้อย่างแพร่หลาย
สำหรับเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 28 ต.ค. พ.ต.ท.ธนะสิทธิ์ จิตติพัทธพงศ์ รอง ผกก. ป.สน.หลักสอง รับแจ้งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบยิงสกัดยางรถยนต์คนร้ายคดียาเสพติด มีรถยนต์ชาวบ้านเสียหายหลายคัน บริเวณกลางสี่แยกไฟแดงหน้าห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางแค ถนนเพชรเกษม แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กทม.พบรถประชาชนจอดชิดขอบทางด้านซ้าย 6 คัน ส่วนใหญ่เสียหายถูกชนท้ายและตัวถังด้านข้าง แต่ไม่มีผู้ใดบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ได้ประสานพนักงานสอบสวนเร่งประสานประกันภัย ให้ช่วยเหลือประชาชนที่เสียหายกรณีนี้โดยเร่งด่วนแล้ว
อย่างไรก็ตาม มีรายงานเพิ่มเติมเมื่อสายวันที่ 29 ต.ค. เหตุดังกล่าว พล.ต.ต.จักรภพ สุคนธราช ผบก.น.7 พ.ต.อ.กุลเชษฐ์ บางพราน รอง ผบก.น.7 ได้รับรายงานจาก พ.ต.ท.สวัสดิ์ ภักดี รอง ผกก.สส.บก.น.7 พ.ต.ท.สมศักดิ์ แก้วอุดม สว.กก.สส.บก.น.7 ว่าเป็นการขยายผลเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ที่ตรวจยึดยาไอซ์ได้หลาย 10 กิโลกรัม และมีพฤติกรรมเคยยิงตำรวจ กก.สส.บก.น.7 จนเสียชีวิตเมื่อ 10 ปีก่อน ขยายผลตรวจค้น 4 จุด แบ่งออกเป็นคอนโดย่านเพชรเกษม บ้านพักย่านพุทธมณฑลสาย 1 บ้านพักย่านบางใหญ่ และบ้านพักย่านบางกรวย
...
จุดตรวจค้นที่เป็นจุดเริ่มเหตุการณ์ อยู่ห้องเลขที่ 1812 ชั้นที่ 18 อาคาร A เดอะ พาร์คแลนด์ เพชรเกษมคอนโด ถนนเพชรเกษม แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กทม. หลังสืบทราบมีแก๊งค้ายาเสพติดรายใหญ่ หลบซ่อน ได้ขอหมายค้นนำกำลังเข้าไปจับกุมนายวินิต เลิศพนาสิน 31 ปี หรืออ้วน โอรส ตามหมายจับศาลอาญาธนบุรี ข้อหาสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และนายประพัฒน์ ประเสริฐกุล ตามหมายจับศาลอาญาธนบุรี ข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาไอซ์) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมของกลาง ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาไอซ์) 1.65 กก. ยาอี 235 เม็ด ยา Happy Water 6 ซอง ยาไฟว์ไฟว์ 140 เม็ด รถกระบะ 1 คัน
ระหว่างการตรวจค้น นายชนทัต นทีมาศ อายุ 29 ปี หรือเช็ค โอรส 1 ในผู้ต้องหาไหวตัวทัน ขับรถยนต์ฮอนด้า เอชอาร์-วี สีขาว ทะเบียน 8 กส 8407 กรุงเทพมหานคร หลบหนีผ่านป้อมยามที่มีชุดสืบสวนดักอยู่และพยายามขับรถชนจนต้องกระโดดหลบ ตำรวจได้วิ่งติดตามมา เป็นช่วงติดไฟแดง การจราจรค่อนข้างหนาแน่น แต่ผู้ต้องหาได้ขับรถชนรถชาวบ้านเพื่อแหวกทาง ชุดสืบสวนใช้ปืนยิงสกัดไปที่ยางรถจนแตก แต่ผู้ต้องหาไม่ยอมหยุดและขับต่อไปได้ ก่อนไปทิ้งรถที่ลานจอดรถสรีเวช ถนนราชพฤกษ์ แขวงบางจากเขตภาษีเจริญ กทม.และหลบหนีไป
วันเดียวกัน พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก โฆษก บช.น. เปิดเผยว่า ขั้นตอนการเข้าสกัดจับคนร้ายตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า เป็นการเข้าสกัดจับกุมตามยุทธวิธี เนื่องจากมีความจำเป็นต้องสกัดไม่ให้คนร้ายหลบหนีและก่อความเสียหายต่อร่างกายและทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่และประชาชนที่อยู่โดยรอบ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเป็นการทบทวนยุทธวิธีในการเข้าจับกุมกรณีดังกล่าว ได้ให้กองบังคับการตำรวจนครบาล 7 ตรวจสอบและทบทวนขั้นตอนการเข้าสกัดจับกุมดังกล่าวว่าเป็นไปตามยุทธวิธีและระเบียบที่กำหนดหรือไม่
ต่อมาเวลา 16.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจ นครบาล พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น. แถลงถึงกรณีดังกล่าวว่า ในฐานะผู้บังคับบัญชาขอแสดงความเสียใจกับประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์นี้ แต่อยากให้เข้าใจการทำงานของตำรวจ เพราะหากตำรวจไม่ตัดสินใจ อาจเกิดความสูญเสียมากกว่านี้ ยืนยันว่าตำรวจได้รวบรวมความเสียหายของประชาชนไว้ในสำนวนเพื่อดำเนินคดีอาญากับนายชนทัต และฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในทางแพ่งให้ผู้เสียหาย ยืนยันตำรวจจะรับผิดชอบอย่างเต็มที่ แต่เหตุการณ์นี้ความเสียหายไม่ได้เกิดจากการกระทำของตำรวจ แต่เป็นการกระทำของผู้ต้องหา อยากให้ประชาชนเข้าใจการทำงานของตำรวจด้วย พร้อมฝากถึงนายชนทัต หากดูข่าวอยู่ให้จดจำหน้าตนและ พ.ต.อ.เจษฎา สวยสมร รอง ผบก.น.7 ไว้ให้ดี ถ้าเจอตำรวจแล้วใช้อาวุธตำรวจจะพิจารณาตามขั้นตอน เพราะฉะนั้น ให้แสดงตัวหรือมอบตัวจะดีกว่า พร้อมย้ำว่า เป็นห่วงจริงๆ
ในส่วนของการสกัดยาเสพติดที่ทะลักจากชายแดนเพื่อนบ้าน วันเดียวกัน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. มอบหมาย พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศอปส.ตร.เดินทางไปที่เมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา เข้าหารือกับพลตำรวจจัตวา วิน หน่าย เลขาธิการร่วมคณะกรรมการร่วม คณะกรรมการกลางเพื่อการควบคุมยาเสพติด และผู้บัญชาการสำนักปราบปรามยาเสพติด ประเทศเมียนมา และคณะ
ประเด็นหารือมี 2 ประเด็น ประเด็นแรก เรื่องสารตั้งต้น เนื่องจากมีการส่งสารตั้งต้นจำนวนมากจากประเทศไทยเข้าประเทศเมียนมา มีการอ้างอิงว่าสารตั้งต้นนี้นำไปใช้ในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำ มีข้อมูลแน่ชัดว่าสารตั้งต้นนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ในการผลิตยาเสพติด เช่น สารตั้งต้นชื่อ โซเดียมไซยาไนด์ น้ำหนัก 1 ตัน สามารถผลิตยาบ้าได้ 20 ล้านเม็ด หรือยาบ้าได้ 600 กิโลกรัม ระยะ 4 ปีที่ผ่านมา สถิติการส่งออกสารตั้งต้นประเภทนี้ ผ่านประเทศไทย ปลายทางประเทศเมียนมามีจำนวนหลายเมตริกตัน
...
ทางคณะเจรจาหารือทางฝ่ายเมียนมา ได้ขอบคุณฝ่ายไทยที่ให้ข้อมูล ถ้าไม่มีสารตั้งต้นก็ผลิตยาเสพติดไม่ได้ นอกจากนี้สารตั้งต้นที่น่าสนใจอีกประเภทใช้เกี่ยวกับยาเสพติดคือ คาเฟอีน หน่วยปราบปรามยาเสพติดให้ความสำคัญในการติดตามการใช้สารตั้งต้นทุกประเภทเพื่อป้องกันการใช้ผิดวัตถุประสงค์ ปัจจุบันมีการควบคุมสารเคมีประมาณ 39 ประเภท และทางเมียนมาได้ควบคุมโดยให้ขออนุญาตก่อนนำเข้า มีการควบคุมจำนวนการใช้ของสารตั้งต้นและจำนวนคงเหลือ และจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันปราบปรามการนำสารตั้งต้นไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ต่อไป
ส่วนประเด็นหารือที่ 2 เป็นการขอความร่วมมือจับกุมผู้ต้องหา ตามหมายจับคดียาเสพติด ของทางการไทย ผบ.ตร.ขอความร่วมมือทางการเมียนมาจับกุมผู้ต้องหาที่กระทำผิดกฎหมายยาเสพติดฝั่งไทยหลบหนีมาซ่อนตัวอยู่ในฝั่งเมียนมา โดยทางการเมียนมายินดีให้ความร่วมมือพร้อมจะจับกุมให้เพิ่มมากขึ้น