"ปานเทพ" แจง 13 ข้อ "กัญชา" เพื่อประโยชน์ประชาชน ต้องไม่ถูกผูกขาดเอาไว้กลุ่มทุนแพทย์ หรือกลุ่มทุนยาบางกลุ่ม โต้เดือดกฎหมายกัญชาของไทย เป็นไปในทิศทางเดียวกับอีกหลายประเทศ ที่ดำเนินการไปก่อนไทยหลายสิบปี และยังไม่พบเห็นการล่มสลายของสังคมชาติอื่น

เมื่อวันที่ 9 ก.ย.65 นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกคณะกรรมการสื่อสารและประชาสัมพันธ์การใช้กัญชาอย่างเข้าใจ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวผ่านเพจส่วนตัวถึงกรณี ที่แพทยสภาได้เผยแพร่ข้อเสนอเกี่ยวกับนโยบายกัญชาของประเทศไทยนั้น คณะกรรมการสื่อสารและประชาสัมพันธ์การใช้กัญชาอย่างเข้าใจ กระทรวงสาธารณสุข ขอน้อมรับความเห็นที่อาจจะแตกต่างของแพทยสภา และขอบพระคุณความห่วงใยจากแพทยสภาดังกล่าวนี้ และเห็นว่าความที่แตกต่างคือส่วนสำคัญในการพัฒนากฎหมาย ที่ทำให้เกิดการพิจารณาอย่างรอบด้าน อย่างไรตามยังมีประเด็นที่จำเป็นจะต้องสื่อสาร และประชาสัมพันธ์การใช้กัญชาในประเด็นที่ยังไม่เข้าใจตรงกันดังต่อไปนี้

ประการแรก อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ.1961 นั้น ได้ถูกแปลเป็นภาษาไทย และถูกนำมาใช้ในประเทศไทยอย่างไม่ถูกต้องมาหลายสิบปี เพราะไม่เคยมีข้อห้ามการใช้กัญชา ฝิ่น และโคเคน เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ และทางวิทยาศาสตร์ แต่ในประเทศไทยหลายสิบปีที่ผ่านมา กลับมีการยกเลิกตำรับยาของการแพทย์แผนไทย "ทั้งหมด" ที่มี กัญชา หรือ ฝิ่นเป็นส่วนผสมอันเป็นการกีกีดกั้นภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยอย่างชัดเจน

ด้วยการเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคม นักวิจัย กลุ่มแพทย์แผนไทยและหมอพื้นบ้าน และแพทย์แผนปัจจุบันที่ยึดเอาประโยชน์ของประชาชนในประเทศเป็นตัวตั้ง ได้ช่วยกันรณรงค์ต่อต้านสิทธิบัตรยากัญชาข้ามชาติ เมื่อปี พ.ศ.2561-2562 และมีการเรียกร้องให้มีการเปิดเสรีกัญชาทางการแพทย์ให้กับประชาชน ต่อมาในปี 2562 รัฐบาลได้ยกเลิกสิทธิบัตรกัญชาต่างชาติในประเทศไทย และเป็นผลทำให้รัฐบาลในชุดต่อมา ได้ประกาศนโยบายนำกัญชาในตำรับยาของการแพทย์แผนไทยและหมอพื้นบ้าน ให้กลับคืนมาได้บางส่วนตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา

...

หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ว่ายังคงมีการกีดกันการแพทย์แผนไทยยังคงอยู่ ดังตัวอย่างเช่น ฝิ่นซึ่งตามอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ.1961 ระบุให้ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้ไม่ต่างจากกัญชา แต่เมื่อประเทศไทยยังไม่ได้มีการเรียกร้องทวงคืนการใช้ฝิ่นในตำรับยาแพทย์แผนไทย ประเทศไทยก็ยังคงกีดกั้นห้ามใช้ฝิ่นในตำรับยาแพทย์แผนไทยทั้งหมดอยู่จนถึงปัจจุบันอยู่ดี คงเหลือแต่การผูกขาดสารมอร์ฟีน ซึ่งสกัดจากฝิ่นและแรงกว่าฝิ่น หรือยาที่มีส่วนผสมของมอร์ฟินเอาไว้กับแพทย์แผนปัจจุบัน และประเทศไทยต้องเสียรายได้นำเข้ายาราคาแพงกลุ่มนี้ จากต่างประเทศจำนวนมหาศาล

ประการที่สอง กัญชาทางการแพทย์ มิได้จำกัดอยู่วิธีการปฏิบัติเฉพาะการแพทย์แผนปัจจุบันเท่านั้น เพราะกัญชายังอยู่ในรูปของ "สมุนไพร" มิได้มีแต่สารสกัดเดี่ยว ดังเช่น สารเตรตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol, THC) ที่ทำให้มึนเมา แต่สมุนไพร "เต็มส่วน" กัญชายังมีสารสำคัญออกฤทธิ์ต้านการทำงานของสารเตรตราไฮโดรแคนนาบินอลด้วย เช่นกัน อีกทั้งกัญชาหากไม่นำมาผ่านความร้อนที่สูง ก็ไม่สามารถทำให้เกิดสารเตรตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol, THC) ที่ทำให้เกิดความึนเมาด้วยเช่นกัน

นอกจากนั้น แม้สารเตรตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol, THC) ในกัญชาจะทำให้มึนเมาได้ แต่ก็มีผลการวิจัยมากมายพบว่า มีประโยชน์ในการยับยั้งมะเร็งในหลอดทดลองและสัตว์ทดลองได้หลายชนิด จนถึงขั้นมีการนำไปจดสิทธิบัตรยาจำนวนมาก แม้จะยังไม่เป็นที่ยุติในการวิจัยในมนุษย์ แต่ก็มีความสอดคล้องกันไปกับการแพทย์แผนไทย ที่ระบุว่าสมุนไพรรสเมาเบื่อ มีสรรพคุณ แก้พิษดี แก้พิษโลหิต พิษไข้ พิษเสมหะ พิษสัตว์กัดต่อย แก้โรคอาโปธาตุ (ธาตุน้ำ)

โดยเฉพาะกัญชาได้ระบุเอาไว้ในพระคัมภีร์สรรพคุณเภสัชแลมหาพิกัด ตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 5 ว่า "กัญชาแก้ไข้ผอมเหลือง หากำลังมิได้ ทำให้ตัวสั่น เสียงสั่น เป็นด้วยวาโยธาตุกำเริบ แก้นอนมิหลับ" ดังนั้นแม้แต่สารที่มึนเมาก็ไม่ได้มีแต่โทษแต่ยังมีประโยชน์ได้ด้วย แม้ประโยชน์เพียงแค่ช่วยการนอนไม่หลับ ก็เป็นสมุนไพรที่มีคุณค่าต่อประชาชน ลดยานำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรู้และการนำไปใช้เช่นเดียวกับประโยชน์ และโทษของสมุนไพรทุกชนิดในครัวเรือน

ดังนั้นหากแพทยสภาไม่พร้อมหรือยัง ไม่เห็นด้วยที่จะใช้กัญชาในรูปแบบสมุนไพรเต็มส่วนเหมือนการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้านหรือการใช้ในครัวเรือน และจะมุ่งเน้นแต่สารสกัดเดี่ยว ซึ่งเป็นที่นิยมในรูปแบบยาจดสิทธิบัตรยาข้ามชาติในการแพทย์แผนปัจจุบัน แพทยสภาย่อมสามารถกำหนดเวชปฏิบัติของวิชาชีพให้กับสมาชิกของแพทยสภาและราชวิทยาลัยของตัวเอง โดยไม่มีใครสามารถก้าวล่วงในแต่ละวิชาชีพได้อยู่แล้ว

ประการที่สาม โดยสภาพข้อเท็จจริงในปัจจุบันก่อนวันที่ 9 มิ.ย.2565 ซึ่งกัญชาไม่ใช่ยาเสพติดพบว่า มีการใช้กัญชาใต้ดินอยู่แล้วจำนวนมาก ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ต้องการใช้กัญชา ยังคงไม่สามารถเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์ที่ถูกกฎหมายได้จริง ด้วยเพราะยังช่องว่างระหว่างความต้องการของประชาชน กับแพทย์แผนปัจจุบันผู้จ่ายยากัญชานั้น มีความเห็นไม่ตรงกัน เช่น ข้อบ่งใช้ ตำรับยาที่ใช้ การคัดกรองผู้ป่วย การกำหนดให้ใช้ยาอย่างอื่นก่อน ฯลฯ

จากเหตุผลดังกล่าว ทำให้แพทย์จ่ายน้ำมันกัญชาที่ถูกกฎหมายให้ผู้ป่วยได้น้อยมากจนเหลือค้างสต๊อก หมดอายุ และต้องทำลายทิ้งไปถึงครึ่งหนึ่ง แต่ในขณะที่ประชาชนที่ต้องการใช้กัญชาทางการแพทย์ เข้าไม่ถึงการใช้กัญชาต้องลักลอบปลูก หรือใช้น้ำมันกัญชาอย่างผิดกฎหมายเกินกว่าครึ่งหนึ่ง แม้ว่าภาครัฐจะพยายามผลักดันผ่านคลินิกกัญชาแล้วก็ตาม ก็ยังมีประชาชนส่วนใหญ่ใช้กัญชาใต้ดินเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์จำนวนมาก หรือเป็นส่วนใหญ่อยู่ดี

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้กัญชาใต้ดินนั้น มีความเสี่ยงต่อสารพิษ ยาฆ่าแมลง โลหะหนัก ตลอดจนถูกเอารัดเอาเปรียบและขายในราคาแพง หากปล่อยช่องว่างในอคติและความไม่เข้าใจระหว่างแพทย์ และประชาชนไว้เช่นนี้ต่อไป นอกจากผู้ป่วยจะถูกคุกคามและรีดไถจากเจ้าหน้าที่รัฐที่จับกุม และปราบปราบยาเสพติดแล้ว ผู้ป่วยเหล่านี้กลับตกอยู่ในอันตราย จากสารพิษในกัญชาใต้ดินอีกด้วย จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงนโยบายในการเข้าถึงกัญชาของประชาชน เพื่อทำให้ประชาชนในฐานะผู้บริโภค ที่ต้องได้รับการคุ้มครองให้ดีกว่าสถานการณ์ปัจจุบัน

...

ประการที่สี่ ด้วยข้อเท็จจริงที่พบว่า กัญชามีความน่าจะเป็นในการเสพติดน้อยกว่าสุราและบุหรี่ อีกทั้งยังได้รับประโยชน์จากกัญชาในการเพิ่มคุณภาพการนอน ลดความเครียด และลดการอักเสบ ฯลฯ เมื่อประกอบกับประชาชนที่ต้องแอบใช้กัญชาใต้ดินทางการแพทย์อยู่เป็นจำนวนมาก จึงพบว่าประชาชนในประเทศไทยที่ได้ผ่านประสบการณ์กัญชาใต้ดินโดยส่วนใหญ่ ไม่ได้เห็นโทษของกัญชาเหมือนยาเสพติดอื่นๆ

จากรายงานของโครงการศึกษาสถานการณ์ การใช้กัญชาทางการแพทย์ในประเทศไทย ระหว่าง พ.ศ.2562-2563 พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ที่ได้สำรวจมีความเห็นว่า ควรให้ประชาชนทั่วไปมีสิทธิในการปลูกกัญชา เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ได้ร้อยละ 94.2, เห็นควรอนุญาตให้ประชาชนจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากกัญชาใช้เพื่อผ่อนคลายได้ 65.3, เห็นควรอนุญาตให้ประชาชนทั่วไป มีสิทธิปลูกกัญชา เพื่อใช้ในการผ่อนคลายร้อยละ 61.3

นอกจากนั้น รายงานโครงการเดียวกันนี้ ยังพบว่าประชาชนเห็นว่ากัญชาควรเป็นสารเสพติดให้โทษทั้งในกรณีใช้เพื่อการแพทย์และเหตุผลอื่น เหมือนในอดีตตามข้อเสนอของแพทยสภานั้น เห็นด้วยเพียงร้อยละ 21.6 เท่านั้น แต่ในขณะที่ประชาชนเห็นว่ากัญชาควรมีกฎหมายควบคุม เช่นเดียวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ร้อยละ 75 และควรควบคุมเช่นเดียวกับยาสูบ บุหรี่ ร้อยละ 75.8 รายงานผลการศึกษาดังกล่าวข้างต้น สอดคล้องไปกับผลสำรวจของนิด้าโพล เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2565 พบว่า มีประชาชนเห็นด้วยมากและค่อนข้างเห็นด้วยรวมกันร้อยละ 58.55 ต่อการปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดประเภทที่ 5 ทำให้การปลูก เสพ สูบ บริโภค สามารถทำได้อย่างถูกกฎหมาย

ประการที่ห้า แม้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสียงข้างมาก (ผู้แทนปวงชนชาวไทย) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน, และมอบหมายให้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี) จะได้ตัดสินใจทำให้กัญชาไม่ใช่ยาเสพติดอีกต่อไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้มีการควบคุม เพราะนอกจากรัฐบาลโดยกระทรวงต่างๆ และกระทรวงสาธารณสุขจะได้ทยอยระดมออกมาตรการมาก่อนหน้านี้ได้แล้ว ร่างพระราชบัญญัติ กัญชา กัญชง พ.ศ… ยังมีส่วนที่มีการควบคุมอย่างชัดเจนอีกด้วย โดยกรรมาธิการฯได้นำรูปแบบการควบคุมของกฎหมาย 3 ฉบับ มาบูรณาการกัน ได้แก่ พระราชบัญญัติควบคุมยาสูบ, พระราชบัญญัติควบคุมสุรา, พระราชบัญญัติพืชกระท่อม สรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับการควบคุม ดังนี้

...

1.สารสกัดที่มีสารเตรตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol, THC)เกินกว่าร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก ยังคงต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายยาเสพติด และยังคงใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์ได้ ยกเว้นการทำให้เป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรยังคงต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ.2562

2.กัญชาหรือกัญชง ส่วนที่เป็นอาหารจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตาม พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522, หากเป็นเครื่องสำอางจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง, หากเป็นร้านอาหารก็ต้องปฏิบัติตามประกาศกรมอนามัย, หากเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร และหากเป็นยาก็ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติยา ซึ่งมาตรฐานภายใต้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุขที่มีอยู่แล้ว ได้ควบคุมการใช้กัญชา และกัญชงอย่างปลอดที่สุดอย่างแน่นอนอยู่แล้ว

3.ต้นไม้ที่เรียกว่า กัญชา กับ กัญชง จะถูกแยกออกจากกัน โดยมีระดับการควบคุมที่แตกต่างกัน ซึ่งกัญชาจะมีการควบคุมมากกว่ากัญชง โดยใช้ตัวชี้วัดจากปริมาณสาร Tetrahydrocannabinol, THC ที่คณะกรรมการกัญชา กัญชง ประกาศกำหนด

4.การควบคุมการ "ผลิต" ในส่วนของ "ช่อดอก" หรือ "สารสกัด" เพื่อขายจะต้องได้รับใบอนุญาต ในส่วนอื่นๆ เช่น ราก ลำต้น เส้นใย ไม่ต้องขออนุญาต ส่วนอื่นๆให้ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอื่นๆ

5.กำหนดให้รัฐจำเป็นต้องรายงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปลูกกัญชา กัญชง ทั้งการปลูก ผลิต นำเข้า ส่งออก ขาย เพื่อรายงานต่อคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศ

6.กำหนด "การจดแจ้ง" (ไม่ต้องขอนุญาต) และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจะต้องรับจดแจ้งให้แล้วเสร็จภายในวันเดียว ไม่มีค่าธรรมเนียม สำหรับ 3 กรณี คือ กรณีที่ 1 ประชาชนทั่วไปปลูกกัญชา กัญชง ไม่เกิน 15 ต้นต่อครัวเรือน (ห้ามขาย) กรณีที่ 2 การปลูกกัญชงเพื่อใช้ราก ลำต้น เส้นใย เพื่อใช้ในครัวเรือนไม่เกิน 5 ไร่ (ห้ามขาย) กรณีที่ 3 เป็นสถานพยาบาล ที่ปลูกเพื่อปรุงยาเฉพาะราย โดยการปรุงยาเฉพาะรายให้เป็นไปตาม พระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร

...

ถ้าไม่จดแจ้งมีโทษปรับ 2 หมื่นบาท หากมีการจดแจ้งแล้วนำไปให้เด็กเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตรใช้นอกจากจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 3 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับแล้ว ยังถูกเพิกถอนการจดแจ้งด้วย (7) กำหนดให้มี "การอนุญาต" ทุกกรณีถ้ามีกิจกรรมการขายเพื่อธุรกิจ ทั้งนำเข้า ส่งออก ปลูก ผลิต สกัด ขาย หากไม่ขออนุญาตมีโทษสูงสุดจำคุก 3 ปี ปรับไม่เกิน 3 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ถ้าเป็นความผิดฐานนำเข้ากัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษสูงสุดจำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 5 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ โดยการปลูกกัญชาหรือกัญชง เพื่อการพาณิชย์ไม่เกิน 5 ไร่ ไม่มีค่าธรรมเนียม

โดยหากได้รับอนุญาตแล้วนำไปให้เด็กเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตรใช้นอกจากจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 3 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับแล้ว ยังถูกเพิกถอนใบอนุญาตได้ด้วย (ห้ามมีการขายกัญชา กัญชง หรือสารสกัดให้เด็กเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร ใครฝ่าฝืนนอกจากจะมีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 3 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ หรือถูกเพิกถอนการจดแจ้งหรือเพิกถอนการ)