“จีระพัฒน์-ชัชชาติ” ลงนาม สนง.ศาล-กทม. ร่วมมือพัฒนาระบบประเมินความเสี่ยง การกำกับดูแลเรื่องขยายเครือข่ายให้กรรมการชุมชนมีบทบาทในการยื่นขอประกันตัว เพื่อกระจายอำนาจ ลดความเหลื่อมล้ำ
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 30 มิถุนายน 2565 ที่ห้องประชุมสัญญาธรรมศักดิ์ ชั้น 7 สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม นายจีระพัฒน์ พันธุ์ทวี เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสำนักงานศาลยุติธรรมและกรุงเทพมหานคร ว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการประสานงานระหว่าง ศาลยุติธรรมกับกรุงเทพมหานคร ในโครงการพัฒนาระบบประเมินความเสี่ยงและการกำกับดูแลในชั้นปล่อยชั่วคราวของศาลยุติธรรม
นายจีระพัฒน์ พันธุ์ทวี เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า ศาลยุติธรรมได้ให้ความสำคัญกับการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาและจำเลยมาอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากทุกปี ศาลใช้ดุลพินิจในการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยถึงร้อยละ 90 ของจำนวนคำร้องขอปล่อยชั่วคราวที่ยื่นต่อศาล แต่ในบางกรณีจะมีผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีของศาล ไม่เคยยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวมาก่อน เพราะไม่ทราบถึงสิทธิในการขอปล่อยชั่วคราวว่า สามารถยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว โดยไม่จำต้องเสนอหลักประกันมาพร้อมกับคำร้อง หรือเคยยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวแล้ว ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยให้ทำสัญญาประกันและวางหลักประกัน แต่ผู้ต้องหา หรือจำเลยไม่สามารถหาหลักประกันมาเสนอ หรือมาวางต่อศาลได้ เป็นเหตุให้ต้องถูกจองจำในระหว่างการพิจารณาคดี ย่อมถือได้ว่าผู้ต้องขังเหล่านี้เป็น “ผู้ที่ถูกขังโดยไม่จำเป็น”
...
โดยประธานศาลฎีกาได้เล็งเห็นว่า การลดการเรียกหลักประกันในการปล่อยชั่วคราวจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ เปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาและจำเลยไม่ว่าจะมีฐานะทางเศรษฐกิจอย่างไรก็สามารถเข้าถึงสิทธิในการปล่อยชั่วคราวได้อย่างเท่าเทียมกัน จึงได้กำหนดให้พัฒนาระบบประเมินความเสี่ยงในการปล่อยชั่วคราวและส่งเสริมการใช้มาตรการตามกฎหมายเพื่อลดการเรียกหลักประกันควบคู่กับการสร้างความปลอดภัยให้แก่สังคม โดยการนำมาตรการทางกฎหมายต่างๆ มาใช้ในการปล่อยชั่วคราว เช่น การกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยปฏิบัติในระหว่างการปล่อยชั่วคราว การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรืออุปกรณ์ที่สามารถตรวจสอบ หรือจำกัดการเดินทาง และการแต่งตั้งผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว ซึ่งตามพระราชบัญญัติมาตรการกํากับและติดตามจับกุมผู้หลบหนี การปล่อยชั่วคราวโดยศาล พ.ศ.2560 กำหนดให้ศาลแต่งตั้งผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ ที่ศาลกำหนด ได้แก่ เป็นผู้สอดส่องดูแล รับรายงานตัว หรือให้คำปรึกษาผู้ถูกปล่อยชั่วคราวเพื่อป้องกันการหลบหนี หรือภัยอันตรายหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างที่ได้รับการปล่อยชั่วคราว ดังนั้นเพื่อให้การพัฒนาระบบประเมินความเสี่ยงและการกำกับดูแลในชั้นปล่อยชั่วคราวของศาลยุติธรรมดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม ผู้ต้องหา หรือจำเลยในฐานะประชาชนของสังคมได้รับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพมากยิ่งขึ้น
สำนักงานศาลยุติธรรมจึงได้ร่วมมือกับกรุงเทพมหานครจัดทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าว เพื่อที่จะขยายเครือข่ายผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีลักษณะเป็นชุมชนเมือง มีการกระทำความผิดทางอาญาเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยการประสานความร่วมมือให้กรรมการชุมชนที่ผู้ต้องหา หรือจำเลยมีภูมิลำเนาหรืออยู่อาศัยจริง ซึ่งอยู่ใกล้ชิดและน่าจะทราบความเป็นไปกับพฤติกรรมของผู้ต้องหา หรือจำเลยในชุมชน ทั้งยังเป็นคนกลางที่น่าเชื่อถือ มีบทบาทในการช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ต้องหา หรือจำเลยเพื่อใช้ในการประเมินความเสี่ยง และการช่วยสอดส่องกำกับดูแลพฤติกรรมของผู้ต้องหา หรือจำเลยให้เป็นไปตามเงื่อนไขของศาล ตลอดจนในกรณีที่ผู้ต้องหา หรือจำเลยมีภูมิลำเนาห่างไกลที่ทำการศาล และมีฐานะยากจนไม่มีเงินพอเสียค่าพาหนะเดินทางมาศาลเพื่อมารายงานตัวบ่อยครั้ง คณะกรรมการชุมชนอาจช่วยเป็นผู้รับรายงานตัวแทนศาลได้ ซึ่งจะเป็นการขยายโอกาสให้แก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดทางอาญา และไม่มีพฤติการณ์ที่จะหลบหนี หรือไปก่อภัยอันตรายให้สังคม ได้รับการปล่อยชั่วคราว โดยไม่จำเป็นต้องใช้หลักประกัน และเพิ่มความปลอดภัยให้แก่สังคม
เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวอีกว่า ในโอกาสนี้สำนักงานศาลยุติธรรมขอขอบคุณนายชัชชาติ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้แทนกรุงเทพมหานครที่ได้ให้เกียรติมาร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ร่วมกันพัฒนาระบบประเมินความเสี่ยงและการกำกับดูแลในชั้นปล่อยชั่วคราว ให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป
...
นายชัชชาติ กล่าวว่า ปัญหาหลักของ กทม.ที่เราเจอและเป็นนโยบายหลักคือเรื่องความเหลื่อมล้ำ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของเมืองโดยเฉพาะใน กทม.เรามีชุมชน 2,000 กว่าชุมชน และเป็นชุมชนแออัด 900 กว่าชุมชน โดยมีความเหลื่อมล้ำเป็นปัญหาหลักอย่างที่คนชอบพูดกันว่า คุกเอาไว้ขังคนจน ซึ่งแม้คดีอยู่ในช่วงประกันตัวก็ตามเนื่องจากหลายคนไม่มีหลักทรัพย์
จากการลงพื้นที่เราเห็น 2 เรื่องหลักในชุมชนต่างๆ 1.ในชุมชนจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการชุมชนโดยมีประธานและคณะกรรมการชุมชนซึ่งบุคคลเหล่านี้จะเป็น บุคคลที่รู้จักคนในชุมชนเป็นอย่างดี จะเห็นได้ว่าในช่วงโควิดที่ผ่านมาคณะกรรมการชุมชนไหนเข้มแข็ง ชุมชนนั้นจะรอดได้ ยกตัวอย่างเช่น ในเขตคลองเตยหากเราจะนำของไปบริจาค ตัวประธานชุมชนจะทราบเลยว่าบ้านไหนต้องการความช่วยเหลืออย่างไร หรือคนไหนเป็นลูกใคร อยู่บ้านหลังไหน ทำงานอะไร คนในชุมชนจะรู้จักเป็นเครือข่ายซึ่งกันและกัน ซึ่งคนเหล่านี้จะรู้รายละเอียดได้ดีกว่าศาล และถ้าเราให้เกียรติ ให้ความรับผิดชอบเหมือนกับการกระจายอำนาจลงไปตนว่า คนในชุมชนจะเกิดความภูมิใจและจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างระบบยุติธรรมให้ดีขึ้น จะเห็นได้ว่าในช่วง1เดือนที่ผ่านมาที่ได้กระจายอำนาจให้ประชาชน อย่างเช่นการให้อำนาจประชาชนในการช่วยแจ้งเหตุ ประชาชนรู้สึกภูมิใจที่มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาของเมือง การกระจายอำนาจให้ประชาชนจึงเป็นส่วนหนึ่ง ที่น่าจะช่วยให้ชุมชนเข้มแข็ง
...
2.ก่อนที่จะรู้จักโครงการนี้จากการลงพื้นที่บ่อยๆ ก่อนเป็นผู้ว่าฯตนได้คุยกับคุณลุงคนหนึ่งซึ่งเป็นประธานกรรมการชุมชนแถวฝั่งธน ซึ่งตนก็ได้ถามประธานชุมชนว่าอยากได้อะไร คุณลุงคนนั้น ก็บอกกับตนว่าทำไมในฐานะประธานกรรมการชุมชนเขาถึงไม่ได้สิทธิในการยื่นประกันตัว ในศาลทั้งที่เขาเป็นกรรมการชุมชน ซึ่งตอนนั้นตนก็ไม่ทราบถึงโครงการนี้ของศาล ก็ไม่รู้เรื่อง แต่พอมาเป็นผู้ว่าฯก็ได้พบว่ามีโครงการนี้อยู่ เเละได้ฟังความรู้จากท่านผู้พิพากษาท่านหนึ่ง ก็เลยพึ่งมาทราบความหมายที่ประธานชุมชนคนดังกล่าวพูด จึงได้ทำความเข้าใจกับโครงการ และรู้สึกดีใจมากและอยากมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาและให้ความยุติธรรมแก่พี่น้องในชุมชน ทาง กทม.มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทางสำนักงานศาลยุติธรรมมีโครงการนี้ขึ้นมา และเป็นก้าวต่อไปในการลดความเหลื่อมล้ำและเป็นการกระจายอำนาจให้ชุมชนดูแลกันเอง ตนเชื่อว่าถ้าชุมชนมีความเข้มแข็งและรับผิดชอบตัวเองมากขึ้น สุดท้ายเมืองจะดีขึ้น.