รองโฆษก อสส.เผยอัยการ ภาค 1 สั่งสอบเพิ่มหลายประเด็นสำคัญ คดีแตงโม นิดา กำชับให้ส่งกลับใน 15 วัน แจงไม่มีความเห็นเรื่องฟ้องเอง แต่ไม่กระทบการฟ้องของอัยการ ตามที่มีนักกฎหมายบางรายอ้าง

ตามที่พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรีได้ส่งสำนวนการสอบสวนคดีอาญาหมายเลข 234/2565 (คดีการเสียชีวิตนิดา พัชรวีระพงษ์ หรือ (แตงโม) ให้กับพนักงานอัยการ จังหวัดนนทบุรีเพื่อพิจารณา เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 65 ที่ผ่านมา ซึ่งคดีนี้เป็นคดีสำคัญที่ประชาชนตลอดจน สื่อมวลชนให้ความสนใจติดตามนำเสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องนั้น

เมื่อวัน 20 มิ.ย. 2565 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการ อาคารบี นายประยุทธ เพรชคุณ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ ในฐานะรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงความคืบหน้าของคดีตลอดจน ประเด็นที่เกี่ยวข้องที่สำคัญเพื่อทราบ หลังจากพนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรีได้พิจารณาสำนวนคดีนี้ ในเบื้องต้นแล้วได้ส่งสำนวนคดีให้อธิบดีอัยการภาค 1 เพื่อพิจารณา ต่อมานายธีระนนท์ ไหวดี อธิบดีอัยการภาค 1 ได้อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 15 ของพระราชบัญญัติพนักงานอัยการและองค์กรอัยการ พ.ศ. 2553 ตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาสั่งสำนวนคดีนี้ โดยมีรองอธิบดีอัยการภาค 1 เป็นหัวหน้าคณะทำงาน

...

จากการตรวจพิจารณา สำนวนของคณะทำงานเห็นว่า คดีมีประเด็นสำคัญที่จะต้องสอบสวนเพิ่มเติมหลายประเด็น เพื่อให้สิ้นกระแสความ คณะทำงานจึงเสนออธิบดีอัยการภาค 1 เพื่อสั่งสอบสวนเพิ่มเติม โดยอธิบดีอัยการภาค 1 มีคำสั่งสอบสวนเพิ่มเติม ตามคณะทำงานเสนอ และได้มีหนังสือลงวันที่ 17 มิ.ย. 65 สั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติม ให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน ในชั้นนี้จึงจำเป็นต้องรอผลการสอบสวนเพิ่มเติม เมื่อผลการสอบสวนเพิ่มเติมครบถ้วน คณะทำงานและอธิบดีอัยการภาค 1 ส่วนที่จะครบกำหนดในวันที่ 23 มิ.ย. นั้นยังคงนัดตามเดิมเพราะทางพนักงานสอบสวนอาจจะส่งสำนวนการสอบเพิ่มเติมทันกำหนด แต่หากไม่ทันก็ต้องเลื่อนออกไปก่อน

นายประยุทธ กล่าวต่อว่า ประเด็นที่มีบุคคลบางคนให้ข่าวกับสื่อมวลชนว่า หากผู้เสียหายฟ้องคดีนี้ต่อศาลแล้ว พนักงานอัยการจะไม่สามารถฟ้องคดีนี้ได้อีก โดยบุคคลดังกล่าวอ้างถึงระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วย การดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2563 นั้น สำนักงานอัยการสูงสุดขอชี้แจงว่าความเห็น ของบุคคลดังกล่าวไม่ถูกต้องทั้งตามข้อกฎหมายและระเบียบของสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวคือระเบียบ สำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2563 ข้อ 48 (10) ระบุว่า

“เมื่อคดีเป็นความผิดต่อส่วนตัวและผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องแล้ว ไม่ว่าจะได้ยื่นฟ้องก่อนหรือหลังจากที่พนักงาน อัยการได้รับสำนวนการสอบสวน และไม่ว่าคดีที่ผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องแล้วนั้นศาลจะพิพากษาแล้วหรือไม่ก็ตาม พนักงานอัยการจะมีคำสั่งยุติการดำเนินคดีนั้น” ซึ่งระเบียบดังกล่าวไม่ใช้บังคับกับคดีอาญาแผ่นดินแต่อย่างใดและความเห็นของบุคคลดังกล่าวยังไม่ถูกต้องตามหลักกฎหมายที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญาอีกด้วย

เมื่อถามว่า การฟ้องเองกับการส่งฟ้องของอัยการจะมีการส่งผลกระทบต่อคดีหรือไม่ นายประยุทธ กล่าวว่าในส่วนนี้ขอไม่ก้าวล่วง และไม่ขอออกความเห็น แต่ในส่วนของอัยการนั้นจะดำเนินการตามพยานหลักฐานในสำนวน ส่วนประเด็นที่สอบเพิ่มเติมอีกหลายประเด็นล่าสุดนั้น เป็นความลับทางคดีไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะจะเป็นความเสียหายต่อความยุติธรรม แต่ ตนบอกได้ว่าเป็นประเด็นที่สำคัญในคดีทั้งหมด

“ที่ต้องมาแถลงในครั้งนี้เนื่องจากมี นักกฎหมายทำคลิปที่อ้างถึงระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดแพร่หลายในโลกโซเชียลว่าหากผู้เสียหายฟ้องคดีเองเป็นการตัดสิทธิ์พนักงานอัยการ เราจึงต้องออกมาชี้แจงเพราะไม่ตรงกับข้อกฎหมายและระเบียบของสำนักงานอัยการ” นายประยุทธ รองโฆษกอัยการ กล่าว.