สดช.ปลื้มผลสำเร็จโครงการ Digital Cultural Heritage หรือโครงการส่งเสริมการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมของชาติสู่รูปแบบดิจิทัล เพื่ออนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมไทยให้อยู่ในรูปแบบที่ยั่งยืน พร้อมจัดประชุมเชิงปฏิบัติการผ่านกระบวนการห้องปฏิบัติการนโยบายสาธารณะ และการเรียนรู้และแข่งขันเชิงสร้างสรรค์ Hackathon


เมื่อวันที่ 23 พ.ค.65 นายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า จากความสำเร็จของโครงการ Digital Cultural Heritage สดช. เห็นว่า มรดกวัฒนธรรมไทยเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่เต็มไปด้วยอัตลักษณ์ที่ไม่มีชาติใดเหมือน ปัจจุบันมีมรดกวัฒธรรมไทยที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในรูปแบบต่างๆ อาทิ ข้าวเหนียวมะม่วง ภาพยนตร์ไทย แฟชั่น ศิลปะการต่อสู้อย่างมวยไทย และเทศกาลสำคัญอย่าง ลอยกระทง สงกรานต์ เป็นต้น

สดช. จึงผลักดันโครงการ Digital Cultural Heritage ปีนี้เป็นปีแรก มี 2 ภารกิจสำคัญ กิจกรรมแรก คือ กิจกรรมการเรียนรู้และแข่งขันเชิงสร้างสรรค์ (Hackathon) เชิญชวนนิสิตนักศึกษาคนรุ่นใหม่นำเสนอโครงการโดยถ่ายทอดเรื่องราวมรดกวัฒนธรรมไทย "เห็นแต่ไม่เคยรู้" ทั้งเรื่องอาหาร วรรณศิลป์ เครื่องปั้นดินเผา และอื่นๆ ในรูปแบบดิจิทัลคอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็น เว็บไซต์ แอนิเมชัน Tiktok คลิปวิดีโอ AR อินโฟกราฟิก ที่มีชื่อว่า "Hackulture นวัต…วัฒนธรรม เรียงร้อยวัฒนธรรมไทย…สู่โลกดิจิทัล"

...

ซึ่งได้มีการจัดงานมอบถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินรางวัลรวมกว่า 110,000 บาท

"โครงการนี้เรามุ่งเน้นไปที่การทำคอนเทนต์เป็นหลัก โดยต้องศึกษาความเป็นมาของแต่ละคอนเทนต์ให้ลึกซึ้งเสียก่อน จากนั้นถึงค่อยเลือกเทคโนโลยีมาประกอบการนำเสนอคอนเทนต์นั้นอีกที แต่การทำ Metaverse, AR และ VR นั้น ถือเป็นการทำดิจิทัลคอนเทนต์ที่ต้องลงทุนพอสมควร ในอนาคตหากเรามีการสนับสนุนการลงทุนที่สามารถทำได้ เราก็จะสามารถต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศเราได้" นายภุชพงค์กล่าว

นายภุชพงค์ กล่าวว่า สดช.จะนำข้อสรุปที่ได้จากโครงการ Digital Cultural Heritage ไปนำเสนอต่อคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ก่อนเสนอต่อคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่มีท่านนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อผลักดันข้อเสนอแนะดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติต่อไป รวมทั้งสนับสนุนท้องถิ่นต่างๆ ให้ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลถ่ายทอดมรดกวัฒนธรรม พร้อมทั้งจะจัดกิจกรรมการเรียนรู้และแข่งขันเชิงสร้างสรรค์ (Hackathon) เพื่อถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมของชาติให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำไปสู่การต่อยอด และสร้างความยั่งยืนต่อไปในอนาคต


ด้าน ศ.ดร.จิรวัฒน์ พิระสันต์ อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ศิลปะ และการออกแบบ มหาวิทยาลัยนเรศวร ตัวแทนจากจังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่า แม้จังหวัดของเราจะมีมรดกวัฒนธรรมอยู่เป็นจำนวนมาก แต่คนทั่วไปรู้จักเพียงไม่กี่อย่าง ทำให้เราดีใจมากที่ได้รับเลือกเป็นพื้นที่นำร่องการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการผ่านกระบวนการห้องปฏิบัติการนโยบายสาธารณะในโครงการนี้ ทำให้เกิดไอเดียใหม่ๆ ในการยกระดับมรดกวัฒนธรรมของจังหวัด ทั้งในรูปแบบของ เมตาเวิร์ส (Metaverse) ดิจิทัลโทเคน (Digital Token) ดิจิทัลคอนเทนต์ในรูปแบบต่างๆ ที่สำคัญยังเป็นการสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยน เรียนรู้ และแสวงหาความร่วมมือจากหน่วยงาน องค์กร ผู้คนจากหลากหลายอาชีพ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา ที่มีความรักในมรดกวัฒนธรรมของจังหวัดพิษณุโลก ได้มารวมตัวกันเพื่อหาแนวทางสืบสานและต่อยอดให้เกิดประโยชน์ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม ทั้งยังเป็นโมเดลต้นแบบให้จังหวัดอื่นๆ ที่มีมรดกวัฒนธรรมของตัวเองได้ดำเนินการเช่นเดียวกัน


ขณะที่ ดร.กษิติธร ภูภราดัย รองผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า DEPA มุ่งมั่นพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลไทยให้อยู่ในระดับชั้นนำของโลก และสนับสนุนการพัฒนาชุมชนให้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน โครงการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมของชาติสู่รูปแบบดิจิทัลของ สดช. ที่ผ่านมา ทั้งการทำงานกับพื้นที่ในจังหวัดพิษณุโลก จนเกิดโครงการต้นแบบหลายโครงการ และกิจกรรมนำร่องในรูปแบบ Hackathon ที่ให้เยาวชนนำเรื่องวัฒนธรรมมาถ่ายทอดผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ทำให้เห็นว่ายังมีมรดกวัฒนธรรมอีกมากมายที่แอบซ่อนอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ

...

นายทวี เสริมภักดีกุล รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กล่าวว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมและเรียนรู้ผลสำเร็จจากโครงการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมของชาติสู่รูปแบบดิจิทัลด้วย เห็นว่ายังมีมรดกวัฒนธรรมของชาติอีกมากมายในทุกท้องถิ่น ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะสูญหายหากไม่รักษาไว้ การนำเครื่องมือดิจิทัลมาถ่ายทอดมรดกวัฒนธรรม นอกจากจะเป็นการรักษาไว้แล้ว ยังเกิดประโยชน์กับพื้นที่ทั้งในด้านเศรษฐกิจที่จะสร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่