"ผู้กล้าตายกลางสนามรบ" คือคำกล่าวทนายความ ภายหลังศาลฎีกา พิพากษาว่า นางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง เพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งตลอดไป และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี ตามคำร้องของ ป.ป.ช.
ทำให้ วันที่ 7 เมษายน 2565 ต้องถูกบันทึกไว้ว่า เป็นวันที่ศาลฎีกา มีเป็นคำพิพากษาให้นักการเมือง "ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง" เป็นคดีแรก และคนแรก
บรรยากาศที่ศาลฎีกา สนามหลวง ในการนัดฟังคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ คมจ.1/2564 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยการ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ กรณีบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนในจังหวัดราชบุรี อันเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวม
คำขอของ ป.ป.ช.ในคดีนี้คือ "ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้ผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่ และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้าน และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดเวลาไม่เกิน 10 ปี"
วันนี้ น.ส.ปารีณา ไม่ได้เดินทางมาศาล มีเพียงทนายความ เป็นตัวแทนเดินทางมาฟังคำพิพากษา
คำร้องระบุ "เป็น ส.ส. ไม่ใช่ผู้ยากไร้ ไม่ใช่เกษตรกร"
คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องสรุป ผู้คัดค้านดำรงตำแหน่ง ส.ส. ไม่ได้มีอาชีพเกษตรกรเป็นอาชีพหลัก จึงไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินเพื่อทำประโยชน์ ที่ผู้คัดค้านที่ดิน 29 แปลง มีเนื้อที่เกินกว่า 50 ไร่ และมีทรัพย์สินที่ยื่นไว้กับป.ป.ช.กว่า 163 ล้านบาท จึงไม่ได้ผู้ยากไร้ที่ทำกิน เป็นผู้ขาดคุณสมบัติครอบครองที่ดินเขตปฏิรูปตั้งแต่แรก การกระทำของผู้คัดค้านถือว่าไม่รักษาเกียรติภูมิของชาติ เป็นการจัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม มีพฤติการณ์เสื่อมเสีย อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระฯ ไม่รักษาผลประโยชน์ของรัฐ
...
อ้าง ครอบครองมาตั้งแต่ปี 2484 "บิดายกที่ดินให้"
ขณะที่ผู้คัดค้าน คัดค้านว่า ได้เข้าครอบครองที่ดินตั้งแต่ปี 2484 ก่อนที่มีการประกาศเป็น พ.ร.บ.ป่าไม้ และ พ.ร.บ.ป่าสงวน ในปี 2507 โดยนายทวี ไกรคุปต์ บิดา ได้ซื้อที่ดินต่อจากชาวบ้านผู้มีสิทธิ์มาทำฟาร์มสัตว์เลี้ยง และปลูกพืช โดยบิดาได้ยกที่ดินให้ผู้คัดค้านดูแลกิจการ เพื่อนำเงินไปเลี้ยงดูบิดาตั้งแต่ 2555 ผู้คัดค้านไม่ทราบว่าเป็นพื้นที่ป่าสงวน จึงไม่มีเจตนาบุกรุก แผ้วถางป่า และกรมป่าไม้ไม่เคยปักหมุดเขตป่าสงวนว่ามีพื้นที่เริ่มตั้งแต่แนวใด ทำให้ประชาชนที่เคยครอบครองที่ดินไม่ทราบว่าเป็นพื้นที่ป่าสงวน เพราะมีการมาประกาศภายหลัง การที่กรมป่าไม้ดำเนินคดีกับผู้คัดค้าน จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาผู้คัดค้านเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดิน และคืนที่ให้ทั้งหมด โดยไม่มีเงื่อนไข จึงฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านบุกรุกที่ตั้งแต่ปี 2549 การยื่นคำร้องคดีนี้เป็นหน้าที่ของรัฐสภาในการไต่สวนและมีมติ ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจไต่สวนเอง
ไม่พบมีผลประโยชน์ทับซ้อน-ส.ส.ไม่มีหน้าที่ดูแลกรมป่าไม้ฯ
ศาลฎีกา พิเคราะห์พยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่า ประเด็นต้องวินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านซึ่งเป็น ส.ส.กระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวมหรือไม่ เห็นว่า การกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนจริยธรรมฯ ข้อ 11 ต้องมีการกระทำที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์หรือที่เรียกว่าผลประโยชน์ทับซ้อน อันกระทบต่อการสั่งการ หรือใช้ดุลพินิจอำนาจหน้าที่ดูแลควบคุมการตรวจสอบที่ตนมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งข้อเท็จจริง ผู้คัดค้านเป็น ส.ส.มีอำนาจเกี่ยวกับนิติบัญญัติ ร่างกฎหมาย ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน ผู้คัดค้านไม่มีอำนาจหน้าที่โดยตรงดูแลตรวจสอบกรมป่าไม้และสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร การครอบครองที่ดินของผู้คัดค้าน นอกจากนี้ ผู้ร้องไม่ได้บรรยายว่าผู้คัดค้านเกี่ยวข้องหรือมีสิทธิ์ตัดสินใจในกิจการของกรมป่าไม้ จึงฟังไม่ได้ว่าเป็นการขัดกันของประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์รวม
ครอบครองที่ดิน 665 ไร่ โดย "ไม่มีเอกสารสิทธิใดๆ"
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อว่า การกระทำของผู้คัดค้านเป็นการเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ ส.ส. ซึ่งถือเป็นการฝ่าฝืนมาตราจริยธรรมร้ายแรงฯ ข้อ 17 ประกอบ ข้อ 3 ข้อ 27 วรรคสองหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ผู้คัดค้านครอบครองที่ดิน 665 ไร่ 1 งาน 53 ตร.ว. เป็นพื้นที่สีส้ม โดยไม่มีเอกสารสิทธิใด ขณะที่ที่ดินบริเวณโดยรอบมียื่นขอออกเอกสารสิทธิ สปก. 4-01 หลายแปลง อีกทั้งสำนักงานปฏิรูปที่ดินฯ กรณีจึงมีเหตุให้เชื่อได้ว่าผู้คัดค้านประกอบธุรกิจฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน ย่อมต้องทราบว่ามีการปฏิรูปที่ดินเช่นเดียวกับคนอื่น
"ไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดิน เพราะมีที่ดินมากกว่าคนอื่น"
ต่อมาวันที่ 17 มิ.ย. 62 สำนักงานปฏิรูปที่ดินฯ ประกาศให้มีการยื่นขอปฏิรูปที่ดินอีกครั้ง โดยเอกสารการยื่นขอปฏิรูปที่ดินกำหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิ์ยื่นคำร้องต้องมีอาชีพเป็นเกษตรกร และไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง สำนักงานปฏิรูปที่ดินฯ จะจัดสรรที่ดินให้ไม่เกินคนละ 50 ไร่ ซึ่งผู้คัดค้านก็ยังไม่เข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดิน เพราะมีที่ดินมากกว่าคนอื่น การเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินอาจมีผลให้ผู้คัดค้านสูญเสียที่ดินได้ และการที่ผู้คัดค้านครอบครองที่ต่อจากบิดา โดยรู้ว่าเป็นที่เกษตรกรรม มีเจตนาไม่ส่งคืนเพื่อจัดสรรให้เกษตรกรและเลี่ยงการเข้ากระบวนการปฏิรูปมาตลอด
โดนตรวจสอบ จึง "ยอมคืนที่ดินทั้งหมดโดยไม่มีเงื่อนไข"
"จนกระทั่งมีการตรวจสอบ ผู้คัดค้านจึงคืนที่ดินให้ทั้งหมดโดยไม่มีเงื่อนไข ข้อเท็จจริงหาใช่สมัครใจส่งมอบเองตามที่อ้าง ประกอบกับผู้คัดค้านเป็น ส.ส. 4 สมัย ย่อมมีความรู้เกี่ยวกับที่ดินเขตปฏิรูป การครอบครองที่ดินของจำเลยยังเป็นการปิดโอกาสเกษตรกรรายอื่นไม่สามารถได้รับการจัดสรรที่ดินทำกินได้ คนทั่วไปจะแคลงใจว่าเหตุใดผู้คัดค้านจึงสามารถครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปได้หลาย 100 ไร่"
...
"เป็นการกระทำเสื่อมเสียเกียรติ และมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง"
เมื่อตรวจสอบสถานะผู้คัดค้านมีรายได้จากการเป็น ส.ส. 4 สมัย ใช้เวลาทำงานส่วนใหญ่ในรัฐสภา ไม่ใช่เกษตรกรอาชีพ มีกรรมสิทธิ์ที่ดินของตัวเองหลาย 10 แปลง และมีที่อยู่อาศัยคนละพื้นที่กับที่ดินพิพาท การครอบครองที่ดินเขตปฏิรูปโดยทราบว่าไม่มีคุณสมบัติและไม่มีเอกสารสิทธิ ส.ส.ย่อมไม่ควรปฏิบัติ การกระทำของผู้คัดค้านเสื่อมเสียเกียรติ และมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง ข้อ 17 ที่ต้องรักษาชื่อเสียง ตำแหน่งหน้าที่ของ ส.ส. และไม่กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ แม้ต่อมาจะส่งคืนที่ดินทั้งหมดก็ไม่ทำให้การฝ่าฝืนจริยธรรมฯ ที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นไม่เกิดขึ้นได้ ส่วนที่ผู้คัดค้านอ้างว่านำรายได้จากการทำเกษตรในที่ดินเขตปฏิรูปมาเลี้ยงดูบิดา ซึ่งเป็นหลักศีลธรรมนั้น เห็นว่าการเลี้ยงดูบิดาต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย และคนทั่วไปก็มีหน้าที่ไม่ต่างจากผู้คัดค้าน
เพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งตลอดไป เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี
พิพากษาว่า ผู้คัดค้านฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่งนับจากวันที่ 25 มี.ค. 64 ซึ่งเป็นวันที่ศาลฎีกา สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านตลอดไป มีผลให้ผู้คัดค้านไม่มีสิทธิ์รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ส.ว. ผู้บริหารท้องถิ่น และดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 235 วรรคสี่ และ พรป.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2561 มาตรา 81, 87 และมาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ข้อ 3 ข้อ 17 ประกอบข้อ 27 วรรคสอง ทั้งนี้ คำพิพากษาให้มีผลทันที และให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบต่อไป
...
ย้อนรอยคดีดัง "ป.ป.ช.ชี้มูล ส.ส.ปารีณารุกป่า ครอบครองที่ดินรัฐ"
สำหรับคดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดว่า น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ยึดถือ ครอบครอง และใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐโดยมิชอบดังกล่าว เป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีเป็น ส.ส.กระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม อันถือว่ามีลักษณะร้ายแรง และกรณีเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง อันถือว่ามีลักษณะร้ายแรงตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อ 11 ข้อ 17 ประกอบ ข้อ 27 วรรคสอง
ทนายเผย ศาลเห็นว่า "ทำผิดจริยธรรมร้ายแรง"
นายทิวา การกระสัง ทนายความของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี กล่าวภายหลัง ศาลฎีกาพิพากษาว่า น.ส.ปารีณาฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายเเรง ให้พ้นตำเเหน่ง ส.ส.ตั้งเเต่วันที่ 25 มี.ค. 2564 เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง 10 ปี เเละเพิกถอนสิทธิการสมัครรับเลือกตั้งตลอดไป ส่งผลให้ไม่มีสิทธิในการลงสมัคร ส.ส. หรือ ส.ว. ผู้บริหารท้องถิ่น หรือดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ตลอดไปว่า ยอมรับผลของคำพิพากษาแต่ยืนยันว่า น.ส.ปารีณา ไม่ได้บุกรุกที่ป่าสงวนตั้งแต่แรก แต่เป็นการรับที่ดินต่อจากบิดา โดยพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ดินส.ป.ก. เนื้อที่ 610 ไร่ ในปี 2555 และศาลชี้ให้เห็นว่า น.ส.ปารีณา ไม่ใช่คนจนและไม่ใช่บุคคลที่เป็นชาวไร่ในการประกอบอาชีพ ดังนั้นการครอบครองที่ดิน ส.ป.ก.จำนวนมาก เป็นการทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประชาชน
...
ชี้ควรคืนที่ดินตั้งแต่ก่อนเป็นส.ส.
แม้ น.ส.ปารีณา จะคืนที่ดินแล้ว ในปี 2562 ซึ่งตามหลัก น.ส.ปารีณาควรจะต้องมอบคืนเลย ตั้งแต่ก่อนที่จะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้นจึงถือว่ามีเจตนาที่จะครอบครองที่ดิน ส.ป.ก.ทำให้ประชาชนไม่สามารถได้รับการจัดสรรที่ดินในส่วนนี้ได้ ดังนั้น ศาลจึงพิจารณาว่าเข้าข่ายการผิดจริยธรรมร้ายแรง
ปิดฉากการเป็น "นักการเมือง" อย่างถาวร
การตัดสินวันนี้ ไม่สามารถทำให้ น.ส.ปารีณาเป็นนักการเมืองได้ถือเป็นราษฎรแล้วต้องพักผ่อนไปอีก 10 ปี ส่วนที่ระบุว่ามีการตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดไปนั้น ต้องดูว่าคำว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคุณสมบัติอะไร เช่นเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติการเลือกตั้ง และหากถูกตัดสิทธิ์ลง ส.ส. ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ได้ แต่ทั้งนี้หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ น.ส.ปารีณา ก็มีโอกาสกลับมาดำรงตำแหน่งได้อีกครั้ง ซึ่งขณะนี้ก็ได้ไปพักผ่อนเช่นเดียวกับนายสิระ เจนจาคะ
เปรียบเป็นผู้กล้า ตายกลางสนามรบ
นายทิวา กล่าวอีกว่า อยากให้รู้ว่าที่ผ่านมา น.ส.ปารีณาโดนมาเยอะ นี่คือผลของผู้กล้า ที่ตายกลางสนามรบ เป็นเรื่องปกติ แต่วีรบุรุษไม่เคยตายกลางสนามรบ ซึ่งนี่คือการเมืองไทย
หาช่องทางยื่นอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา
ทั้งนี้ หลังฟังคำพิพากษายังไม่ได้มีการพูดคุยกับ น.ส.ปารีณา แต่ น.ส.ปารีณาได้เตรียมการทำฟาร์มไก่ใหม่ ส่วนเรื่องของคดี ก็ต้องดูว่าตามกฎหมายสามารถยื่นอุทธรณ์ ไปยังที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาได้หรือไม่ หากทำได้ก็จะลองยื่นอุทธรณ์ดู
เป็นคำพิพากษา "ผิดจริยธรรรม" คดีอาญาทางการเมือง คดีแรก
"ในส่วนของคดีอาญาทางการเมืองทั่วไปสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ แต่ในกรณีผิดจริยธรรมเป็นการพิพากษาคดีแรก จึงต้องศึกษาดูข้อกฎหมายก่อนว่าจะใช้ระเบียบเดียวกันหรือไม่".