โฆษก บช.น. ยัน ส.ต.ต.ดูคาติ ชนหมอกระต่ายมารับทราบ 2 ข้อกล่าวหาเพิ่มเติมแน่ส่วนเรื่องวินัย ตามระเบียบยังปฏิบัติหน้าที่ต่อได้แต่หากศาลตัดสิน จําคุกและจําคุกจริง โทษสูงสุดคือให้ออกจากราชการ พร้อมกางปีกป้องตํารวจที่ถูกขย่มอยู่ในโซเชียลขณะ จอด จยย.บนทางม้าลายเป็นเรื่องบิดเบือนเรื่องจริง เป็นภาพที่มีสัญญาณไฟเขียวรถออกตัวไปแล้วแต่ ยังมีคนเดินข้ามเลยต้องหยุด ขู่โพสต์แบบนี้มีความผิด ส่วนซูเปอร์โพล เสนอผลสํารวจเรื่องทางม้าลาย ตะลึง ร้อยละ 99.7 ไม่เคยเห็นเจ้าหน้าที่บังคับใช้ กฎหมายจริงจังจับปรับรถที่ไม่จอดให้คนข้าม และ ร้อยละ 90 อัป อยากให้มีกล้องติดตั้งจับผิดรถที่ไม่ จอดให้คนข้ามถนน

ความตื่นตัวของสังคมในเรื่องความปลอดภัยของคนเดินถนน โดยเฉพาะทางข้ามทางม้าลาย จนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องออกมาล้อมคอกเรื่องการบังคับใช้กฎหมายและวินัยจราจรอย่างจริงจัง หลังเกิดเหตุ ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดก ผบ.หมู่ กองร้อยที่ 2 กองกำกับการ 1 กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (กก.1 บก.อคฝ.) ซิ่งบิ๊กไบค์ดูคาติชน พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล หรือหมอกระต่าย จักษุแพทย์ ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขณะเดินข้ามทางม้าลายจนเสียชีวิต เมื่อบ่ายวันที่ 21 ม.ค.ที่ผ่านมา

เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 29 ม.ค. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น.และโฆษก บช.น.แถลงความคืบหน้าการดำเนินคดี ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดก ผบ.หมู่ กก.1 บก.อคฝ. ขี่รถบิ๊กไบค์ชน พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล หรือหมอกระต่าย เสียชีวิตว่าอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานและประสานให้ส.ต.ต.นรวิชญ์มาพบเพื่อแจ้งข้อหาเพิ่มเติมคือ
ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และอยู่ระหว่างพิจารณาพยานหลักฐานเตรียมแจ้งข้อหาขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นนั้นอีกด้วย ขณะนี้ ส.ต.ต.นรวิชญ์อยู่ระหว่างลาราชการ คาดว่าจะมารับทราบข้อกล่าวหาใน 1-2 วันนี้ ทั้งนี้จะเชิญพยานที่เห็นเหตุการณ์และที่อยู่ในเหตุการณ์ รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญต่างๆที่ลงพื้นที่ตรวจความเร็วรถหน่วยชันสูตรพลิกศพ มาสอบปากคำนำไปประกอบในการสรุปสำนวน ส่งตัวผู้ต้องหาให้อัยการเพื่อส่งฟ้องต่อศาลในกลางเดือนกุมภาพันธ์

...

พล.ต.ต.จิรสันต์กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางด้านวินัย เมื่อวันที่ 28 ม.ค.พนักงานสอบสวนได้เรียก ส.ต.ต.นรวิชญ์ มาสอบเพิ่มเติม หลังผู้ต้องหาได้ให้ถ้อยคำตามหลักการจะเร่งรัดให้ดำเนินการเสร็จสิ้นโดยเร็ว แต่ถ้าต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม สามารถขอขยายเวลาได้อีกครั้งละ 30 วัน ไม่เกิน 2 ครั้ง เป็นกรอบตามระเบียบ ทั้งนี้โทษทางวินัยกรณีกระทำโดยประมาท ตามระเบียบจะเป็นวินัยไม่ร้ายแรง ส.ต.ต.นรวิชญ์ยังปฏิบัติหน้าที่ต่อได้ แต่การลงทัณฑ์ หากศาลมีคำพิพากษาให้จำคุก และจำคุกจริง โทษสูงสุดคือให้ออกจากราชการ คดีนี้เป็นเรื่องที่สังคมสนใจ ผบช.น.ได้เร่งรัดให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว

ขณะเดียวกัน พล.ต.ต.จิรสันต์ยังกล่าวถึงกรณีโลกโซเชียลแพร่ภาพตำรวจขี่รถจักรยานยนต์หยุดบนเส้นทางม้าลาย บริเวณทางลงทางพิเศษเฉลิมมหานคร สุขุมวิท (เพลินจิตฝั่งเหนือ) แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ พร้อมบรรยายภาพว่า “เจิมทางม้าลายใหม่” ทำให้ชาวเน็ตออกมาตำหนิตำรวจนายดังกล่าวจำนวนมากว่า ขอให้พี่น้องประชาชนฟังข้อมูลที่แท้จริง ต้องทราบว่าก่อนเกิดภาพนั้นเหตุการณ์เป็นอย่างไร เหตุดังกล่าวตำรวจไม่ได้ทำความผิด แต่จังหวะก่อนหน้าหยุดหลังเส้นของแนวทางข้ามม้าลาย เมื่อได้สัญญาณไฟเขียวก็ขี่รถออกไป แต่ขณะนั้นมีคนเดินข้ามจึงได้หยุดรถแม้จะได้สัญญาณไฟเขียว เพื่อให้คนเดินผ่านไปก่อน ตำรวจมีหลักฐานชัดเจนคนที่นำข้อมูลไปโพสต์ ขอให้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพราะนอกจากจะสร้างความเสียหาย ยังมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

โฆษก บช.น.กล่าวอีกว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผบช.น. ยืนยันในหลักการว่า เมื่อใดที่ตำรวจกระทำความผิด ต้องดำเนินคดีและวินัยอย่างเคร่งครัด แต่เมื่อไม่ผิดต้องชี้แจง อย่างประเด็นนี้ตำรวจไม่ได้กระทำผิด ยืนยันว่าไม่มีการดำเนินคดีหรือเปรียบเทียบปรับตำรวจคนดังกล่าว ตามที่โซเชียลมีเดียโพสต์ พร้อมย้ำเตือนว่าการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารมีความผิดตามกฎหมาย

วันเดียวกัน สำนักวิจัยซูเปอร์โพล นำเสนอผลสำรวจเรื่องความปลอดภัยของคนข้ามทางม้าลาย จากประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ 1,145 ตัวอย่างระหว่างวันที่ 25-28 ม.ค.ที่ผ่านมาพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 95.4 ระบุเคยเห็นรถส่วนใหญ่ เช่น มอเตอร์ไซค์ รถส่งสินค้า รถปิกอัพ รถแท็กซี่ รถยนต์ส่วนบุคคล รถเมล์ เป็นต้น ไม่หยุดรถให้คนข้ามตรงทางข้ามตามกฎหมาย ขณะที่ร้อยละ 4.6 ไม่เคยเห็น ที่น่าเป็นห่วงคือ มีไม่ถึงร้อยละ 1 หรือเพียงร้อยละ 0.3 ที่เคยเห็นเจ้าหน้าที่รัฐบังคับใช้กฎหมายจริงจังต่อเนื่องจับปรับรถที่ไม่จอดให้คนข้ามทางม้าลายตามกฎหมาย ในขณะที่เกือบร้อยละร้อย หรือร้อยละ 99.7 ไม่เคยพบเห็น

เมื่อถามถึงประสบการณ์และความเห็นของประชาชนต่อความปลอดภัยของคนข้ามทางม้าลาย พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 95.0 ระบุ ทางม้าลายและทางข้ามที่ถูกกฎหมายขาดสัญญาณหรือป้ายเตือนล่วงหน้า หรือหมุดบนถนนให้รถชะลอตัวและหยุดรถ ขณะที่ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 94.4 ระบุ ผู้ขับขี่และผู้ข้ามขาดจิตสำนึกความปลอดภัย ไม่มีน้ำใจ ไม่คำนึงใจเขาใจเราและไม่เคารพกฎจราจรในการข้ามทางม้าลายและหยุดรถให้คนข้าม โดยยังละเลยและละเมิดสิทธิ ความปลอดภัยผู้อื่น ร้อยละ 94.0 ระบุอยากให้มีกล้องวงจรปิดและเทคโนโลยีทันสมัย ติดตั้งจับผิดรถยนต์ที่ไม่จอดให้คนข้ามถนนบนทางข้ามและปรับจริงจังต่อเนื่อง

โพลดังกล่าวระบุอีกว่า ร้อยละ 93.9 ระบุ รู้สึกว่าทางม้าลายไม่เป็นพื้นที่ปลอดภัยตามกฎหมายกำหนด ร้อยละ 93.5 ระบุ ควรเข้มงวดกวดขันจริงจังต่อเนื่องเป็นพิเศษ ตรงจุดเปราะบาง คนข้ามถนน คนเจ็บป่วย หญิงมีครรภ์ ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน วัดวาอาราม ร้อยละ 92.9 ระบุใช้มาตรการทางสังคม คุมสังคมกันเอง ให้ภาคประชาชนเดินเท้าและผู้ขับขี่ถ่ายรูปผู้ฝ่าฝืน ละเมิดส่งเจ้าหน้าที่จับปรับกันอย่างจริงจัง กล้องหน้ารถ

...

จัดการคนทำผิดกฎหมาย ทั้งคนข้าม และคนขับที่ ก่ออันตรายผู้อื่น ร้อยละ 92.9 เช่นกัน ระบุกฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์เพราะขาดการบังคับใช้จริงจังในการคุ้มครองคนข้ามถนนบนทางข้ามตามกฎหมาย ร้อยละ 92.3 ระบุพฤติกรรมคนขับรถที่ทำให้ประชาชนไม่ปลอดภัยทางถนนคือ ขับรถย้อนศร ไม่จอดให้คนข้ามทางตามกฎหมาย ขับรถบนทางเท้า จอดรถบนทางข้ามจนคนไม่สามารถข้ามตรงทางข้ามได้ กลับรถตรงที่ห้ามกลับรถ รถที่พุ่งออกมาจากซอย เป็นต้น และร้อยละ 91.2 ระบุ ขาดความช่วยเหลือด้านกฎหมายเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ประชาชนไม่รู้จะไปพึ่งพาใคร

ที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 94.3 ระบุ ควรปฏิรูปปรับปรุงกฎหมายการบังคับใช้กฎหมาย เทคโนโลยี ความปลอดภัยทางถนน ทั้งระบบมากกว่าทำแบบไฟไหม้ฟางที่ปัญหายังคงมีอยู่เหมือนเดิมในขณะที่ร้อยละ 5.7 ระบุไม่ควร ที่น่าสนใจอีกคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 92.4 ระบุ ต้องการให้ ทุกภาคส่วน เช่น ตำรวจ กระทรวงคมนาคม ข้าราชการ กทม. กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และภาคประชาชนตื่นตัวร่วมสร้างทางม้าลายปลอดภัยและรณรงค์ข้ามถนนทางม้าลายและหยุดรถให้คนข้าม ในขณะที่ร้อยละ 7.6 ไม่ต้องการ