รมว.ยุติธรรม เปิดสัมมนาประมวลกฎหมายยาเสพติด หวังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานได้ง่ายขึ้นตามแผนบันได 3 ขั้น ยันนายกฯ ขอให้บูรณาการทำงานร่วมกัน เพื่อความสำเร็จและเป็นประโยชน์ต่อสังคม

เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 64 ที่โรงแรมรามา การ์เด้นส์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการแนวทางการดำเนินงานตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พร้อมด้วย นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. นายรุ่งศักดิ์ วงกระสันต์ ประธานแผนกคดียาเสพติดในศาลอุทธรณ์ นายปกรณ์ ยิ่งวรการ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นประจำสำนักประธานศาลฎีกา นายอุทัย สินมา อธิบดีอัยการสำนักงานคดียาเสพติด พล.ต.นิติน ออรุ่งโรจน์ หัวหน้าอัยการทหารกรมพระธรรมนูญ และผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานต่างๆ รวมกว่า 100 คน 

โดย นายวิชัย กล่าวรายงานว่า ประมวลยาเสพติดฉบับใหม่ได้มีการปรับเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีการดำเนินการจากเดิม โดยมีกรอบความคิดที่สำคัญ คือ 1.การกำหนดนโยบายและแผนระดับชาติ ว่าด้วยการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด การจัดโครงสร้างและกลไกในการบริหารจัดการปัญหา 2.การกำหนดนโยบายตัวยาเสพติด การนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และเศรษฐกิจอย่างเหมาะสม 3.การมองปัญหาผู้เสพ หรือผู้ติดยาเสพติดในมิติของปัญหาด้านสาธารณสุขและสุขภาพมากขึ้น ที่ถือว่ามิใช่เป็นปัญหาทางอาชญากรรมอย่างเดียว 4.การวางกรอบการลงโทษผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่ได้สัดส่วนและเหมาะสมกับความร้ายแรงของการกระทำความผิด และ 5.การมุ่งเน้นทำลายโครงสร้างเครือข่ายการค้ายาเสพติด กรอบความคิดดังกล่าวส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวทาง การดำเนินงานไปอย่างมาก เช่น การสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่ จะต้องดำเนินการสืบสวนให้ปรากฏถึงพฤติการณ์ เพื่อแบ่งแยกระหว่างนักค้ายาเสพติดรายใหญ่กับแรงงาน ที่เป็นเครื่องมือของขบวนการค้ายาเสพติด รวมถึงการกำหนดมาตรการ และเครื่องมือทางกฎหมายใหม่ๆ 

...

ด้าน นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ประมวลกฎหมายยาเสพติดมีการปรับปรุงและพัฒนาในหลายด้าน โดยเฉพาะในด้านกระบวนการยุติธรรม การปรับปรุงความผิดและบทลงโทษที่ใช้ในคดียาเสพติด ที่เน้นการพิจารณาจากบทบาทและพฤติการณ์ ยิ่งกว่าปริมาณยาเสพติด แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการแสวงหาและการรวบรวมพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจับกุม พนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการ ก็จะต้องปรับปรุงให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้สาเหตุแรงจูงใจที่ให้คนเข้ามาลักลอบค้ายาเสพติด คือ เงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนในทางทรัพย์สิน กฎหมายฉบับนี้จึงได้เพิ่มมาตรการทางกฎหมายใหม่ๆ เพื่อใช้ในการตัดวงจรการลักลอบค้ายาเสพติด เช่น การริบทรัพย์สินไม่ผูกพันกับผลของคดีอาญา การริบทรัพย์สินตามมูลค่า การให้เครื่องมือทางกฎหมายกับเจ้าหน้าที่ในการยึด หรืออายัดทรัพย์สินในกรณีเร่งด่วน ก่อนมีคำสั่งตรวจสอบทรัพย์สิน เพื่อป้องกันกันยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องใหม่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมมือกันกำหนดแนวทางการดำเนินงานให้มีความชัดเจน โดยมีเป้าหมายและวัตถุประสงค์เดียวกัน คือ การตัดวงจรการค้ายาเสพติดให้ลดลงและหมดไปจากประเทศไทย

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความมุ่งมั่นอยากให้ยาเสพติดลดน้อยหมดไปจากประเทศ อยากให้พวกเราทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งอันเดียวกันในการปราบปรามยาเสพติด โดยเวลานี้รัฐบาลได้มีแผนบันได 3 ขั้น คือ ขั้นแรกที่เราได้ทำมานานแล้ว คือ การปราบปราม ซึ่งในแต่ละปีใช้งบประมาณมหาศาล แต่ยึดทรัพย์ของเครือข่ายยาเสพติดได้ไม่เกิน 600 ล้านบาทต่อปี หากเรายังทำแบบเดิมคงปราบไม่ได้ จึงได้มีบันไดขั้นที่ 2 คือ การยึดทรัพย์ตัดวงจรเครือข่ายค้ายา ซึ่งเราได้ปรับปรุงกฎหมายยาเสพติด รวม 24 ฉบับ เป็นฉบับเดียว เป็นประมวลกฎหมายยาเสพติด แต่เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องใหม่ จึงต้องหารือพูดคุยและสัมมนาร่วมกันให้เข้าใจ เพื่อให้การปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน และในกฎหมายเรายังได้ปิดช่องโหว่ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติทำงานอย่างมีความสุขและปลอดภัย ส่วนบันไดขั้นที่ 3 ตนคิดว่าเราคงไม่ต้องไปถึงขั้นนั้น ซึ่งเป็นแนวทางที่ไทยเคยไปศึกษาดูงานที่ประเทศโปรตุเกส และตนได้เคยพูดคุยกับ นายอันโตนิอู กุแตเรซ เลขาธิการสหประชาชาติ คือ การที่รัฐผลิตยาเสพติดขึ้นมาเองเพื่อบำบัดผู้ติดยา ซึ่งจะทำให้ผู้ผลิตหมดไป แต่เรายังไม่ถึงขั้นนั้นและไม่มีความคิดที่จะใช้ เวลานี้เราต้องเดินตามแผนขั้นที่ 2 ก่อน แต่หากไม่สำเร็จค่อยมาคิดถึงแผนขั้น 3 ซึ่งการบำบัดผู้ติดยาเสพติด เราได้ร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข และจะมีกฎหมายตามมาในอนาคต

"การสัมมนาในวันนี้นั้น เพื่อเป็นการพูดคุยแนวทางปฏิบัติระหว่างหน่วยงานต่างๆ ให้เข้าใจตรงกัน เพื่อเป็นมาตรฐานเดียวในการทำงาน กฎหมายเก่าจะเน้นการจับยาที่ปริมาณ จับกุมแล้วมักไม่ขยายผลต่อ แต่กฎหมายใหม่เราจะเน้นที่พฤติการณ์ของผู้ต้องหา จับแล้วขยายผลนำไปสู่การยึดทรัพย์ และตัวชี้วัดจะไม่ใช่ปริมาณยา แต่เป็นการขยายผลนำไปสู่การดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.มาตรการสมคบ กฎหมายฟอกเงิน และกฎหมายรัษฎากร ซึ่งในช่วงนี้เป็นช่วงรอยต่อของกฎหมาย ต้องเร่งทำความเข้าใจ หากเราเข้าใจอย่างถ่องแท้ ผมมั่นใจว่าเราจะยึดทรัพย์ได้ถึง 10,000 ล้านบาท และปัญหายาเสพติดจะค่อยๆ ลดน้อยลงไป" นายสมศักดิ์ กล่าว.