อธิบดีกรมควบคุมโรค ลงนามสัญญาวัคซีนแอสตราเซเนกา 60 ล้านโดสของปี 65 “อนุทิน” คาด สิ้นปีนี้มีประชากรได้ฉีดเข็มแรก 85% เข็มสอง 74% เผย จ่อสูตรไขว้ “AZ+Pfizer”

วันที่ 29 กันยายน 2564 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีลงนามสัญญาวัคซีนโควิด-19 แอสตราเซเนกา (AstraZeneca) สำหรับปี 2565 ระหว่าง นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายเจมส์ ทีก ประธานบริษัท แอสตราเซเนกา (ประเทศไทย) จำกัด

นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขลงนามจัดซื้อวัคซีนแอสตราเซเนกาสำหรับปี 2564 จำนวน 61 ล้านโดส ซึ่งเป็นวัคซีนที่ผลิตภายในประเทศไทยที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต โดยทยอยผลิตและจัดส่งให้ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดเป็นไปตามสัญญา ทำให้ไทยสามารถจัดหาและดำเนินการกระจายและฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ตามแผนและเป้าหมายที่วางไว้ คาดว่าภายในสิ้นปี 2564 จะสามารถฉีดเข็ม 1 ได้ร้อยละ 85 ของประชากร และเข็ม 2 ครอบคลุมร้อยละ 74 ซึ่งขณะนี้ได้นำแอสตราเซเนกามาฉีดเป็นเข็มที่ 2 ของสูตรไขว้ซิโนแวค (Sinovac) ตามด้วยแอสตราเซเนกาห่างกัน 3-4 สัปดาห์ รวมถึงเป็นเข็มกระตุ้นให้แก่ผู้รับซิโนแวคครบ 2 เข็ม และอาจเป็นเข็มที่ 1 ของสูตรไขว้กับไฟเซอร์ (Pfizer) ต่อไป เพื่อให้ได้ภูมิคุ้มกันที่สูงขึ้น

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค

...

สำหรับปี 2565 รัฐบาลมีการเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนต่างๆ เพื่อจัดหาวัคซีนฉีดเน้นเป็นเข็มกระตุ้น ซึ่งมีการจัดหาไว้อย่างเพียงพอ ล่าสุด คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการจัดซื้อวัคซีนแอสตราเซเนกาสำหรับปี 2565 จำนวน 60 ล้านโดส จึงเป็นที่มาของการลงนามในวันนี้ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของการผลิตจากโรงงานภายในประเทศ และทยอยจัดส่งในไตรมาสแรก 15 ล้านโดส ไตรมาสที่ 2 จำนวน 30 ล้านโดส และไตรมาสที่ 3 อีก 15 ล้านโดส นอกจากนี้ไทยยังได้รับสิทธิพิเศษเป็นประเทศแรกๆ กรณีบริษัทพัฒนาวัคซีนรุ่นที่ 2 ซึ่งครอบคลุมสายพันธุ์กลายพันธุ์ต่างๆ ได้สำเร็จ หรือสามารถใช้เป็นวัคซีนสำหรับกลุ่มเด็กได้ จะสามารถเปลี่ยนเป็นวัคซีนรุ่นล่าสุดได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศไทยอย่างมาก

“วัคซีนแอสตราเซเนกาเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้แผนกระจายวัคซีนและแผนการฉีดวัคซีนของประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับประชาชนสามารถป้องกันควบคุมการระบาดของโรคได้ดียิ่งขึ้น ต้องขอขอบคุณผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่านที่ได้ช่วยให้การจัดหาวัคซีนครั้งนี้สำเร็จเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ซึ่งรัฐบาลไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือในการจัดหาวัคซีนด้วยดีตลอดไป” 

ทางด้านแอสตราเซเนกา (ประเทศไทย) ระบุว่า ตามข้อตกลงในสัญญาแอสตราเซเนกาจะทำการจัดหาวัคซีน 60 ล้านโดสให้แก่รัฐบาลไทยภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 เพิ่มเติมจากข้อตกลงการจัดซื้อวัคซีนจำนวน 61 ล้านโดส ซึ่งจะทยอยส่งมอบในปี 2564 โดยในปีนี้แอสตราเซเนกาส่งมอบวัคซีนรวมแล้วทั้งสิ้น 24.6 ล้านโดส รวมยอดวัคซีนที่ส่งมอบวัคซีนในเดือนกันยายน 8 ล้านโดสแล้ว

เจมส์ ทีก ประธานบริษัท แอสตราเซเนกา (ประเทศไทย) จำกัด
เจมส์ ทีก ประธานบริษัท แอสตราเซเนกา (ประเทศไทย) จำกัด

ภายใต้สัญญาฉบับใหม่นี้ รัฐบาลไทยสามารถเลือกที่จะเปลี่ยนจากวัคซีนรุ่นเดิมของแอสตราเซเนกาเป็นวัคซีนรุ่นใหม่อย่าง AZD2816 ซึ่งจะต้องผ่านการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อ.ย.) ของประเทศไทยต่อไป ขณะนี้วัคซีนรุ่นใหม่กำลังอยู่ระหว่างการวิจัยในเฟสที่ 2 และ 3 โดยคาดว่าจะสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ต่างๆ รวมถึงสายพันธุ์กลายพันธุ์หลักได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยจะมีการระบุกำหนดการส่งมอบวัคซีนรุ่นใหม่นี้ในลำดับต่อไป

นายเจมส์ ทีก เปิดเผยว่า “สัญญาการจัดซื้อวัคซีนฉบับใหม่นี้ ถือเป็นก้าวที่สำคัญของเราในการร่วมสนับสนุนรัฐบาลไทยในการลดการติดเชื้อโรคโควิด-19 ในประเทศ และควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์เดลตา เรามุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่เพื่อคนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเรารู้สึกขอบคุณรัฐบาลไทยที่เชื่อมั่นในความร่วมมือกับแอสตราเซเนกาเสมอมา”