นายก ส.นักประดิษฐ์ ชี้วิกฤติโควิด-19 แบกภาระไม่ไหว วอนรัฐบาลเยียวยาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบหนัก อย่าแก้ปัญหาไม่ตรงจุด แนะใช้ผลสำรวจของ สอท. ออกเป็นมาตรการช่วยเหลือเพื่อให้พ้นวิกฤติ

เมื่อวันที่ 10 ส.ค.64 นายภณวัชร์นันท์ ไกรมาตย์ นายกสมาคมนักประดิษฐ์และนวัตกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวถึงมาตรการการช่วยเหลือเยียวยาของทางภาครัฐที่ยังไม่ครอบคลุมถึงธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เท่าที่ควรว่า ข่าวปรากฏเรื่อยว่าผู้ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอี หลายรายไม่สามารถเข้าถึงมาตรการการช่วยเหลือเพื่อพยุงสถานภาพทางธุรกิจ ทั้งๆ ที่รัฐบาลพยายามชี้ให้เห็นว่า การออก พ.ร.ก.ทั้ง 2 ฉบับ คือ พร.ก..ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 และ พ.ร.ก.ให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2564 จะเป็นทางออกในการแก้ไขปัญหา แต่ขณะนี้ ผู้ประกอบการ SMEs ต่างประสบภาวะหลังแอ่นจนแบกรับภาระไม่ไหว รวมทั้ง หากกิจการใดที่ เล็กๆ เป็น SME ที่สร้างรายได้เล็กๆ น้อยๆ ซึ่งหากมองภาพรวม แล้วมีศักยภาพและมีผลกระทบในเชิงบวกต่อเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลมีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือแบบขอไปที และอ้างกฎระเบียบเดิมๆ นำมาใช้

นายกสมาคมนักประดิษฐ์ กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลดำเนินมาตรการที่ “ใช้เงินน้อย แต่ได้ผลมาก” เช่น จากผลการสำรวจ FTI Poll ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในหัวข้อ “มาตรการเยียวยาแบบไหนถูกใจ SME” นั้น ปรากฏว่า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีส่วนใหญ่มองว่า ควรออกมาตรการลดค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าสาธารณูปโภคต่างๆ การลดค่าเช่าพื้นที่ โดยอาจจะประสานกับกรมธนารักษ์ รวมทั้ง อยากให้รัฐบาลแสดงความจริงใจและดำเนินการช่วยเหลือกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีให้เหมือนกับภาคธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ขณะนี้รัฐบาลได้อำนวยความสะดวกในการช่วยเหลืออย่างมาก จนตนรู้สึกว่า ธุรกิจเอสเอ็มอีเป็นลูกเมียน้อย ประกอบการเยียวยาจากมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาล 1.ก่อสร้าง 2.ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร 3.ศิลปะความบันเทิงและนันทนาการ 4.กิจกรรม บริการด้านอื่น ๆ 5.การขายส่ง ปลีก ซ่อมยานยนต์ 6.การขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า 7.กิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน 8.กิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์ และกิจกรรมทางวิชาการ 9.ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร

...

"เพราะทุกอย่างหยุด เมื่องานไม่ได้ทำกิจกรรมไม่มี แต่พวกเขามีค่าใช้จ่าย แต่เจ้าหน้าที่บอกไม่เข้าข่าย ช่วยเหลือ ส่งผลกระทบไปยัง การพักหนี้ และแรงงานที่อยู่กลุ่ม SME เหล่านี้ จากเจ้าหน้าที่ธนาคาร ต่างๆ นำเอาประกาศ มาตรการการช่วยเหลือ อ้างว่าไม่เข้าข่ายเช่นกัน เราจึงสอบถามว่า แบบนี้ลูกเมียน้อยหรือไม่ เงินสมทบจ่ายค่าแรงต้องจ่ายแต่กิจการไม่สามารถดำเนินกิจการได้ SME ใช้เงินหมุนเวียนจ่ายค่าแรงตั้งแต่ปี 63 ยังจะต้องเสียภาษีปี 2562 เพราะเก็บปี 63 ค่าน้ำค่าไฟ ค่าแรง เงินเดือน ไม่มีรายได้แต่ต้องจ่ายเงินสมทบแบบอัตโนมัติ เมื่อกิจกรรมของ SME ทำไม่ได้ สุดท้ายต้องปิดและลอยแพจ้างให้ออกจากงานเพราะเงินหมด จึงไปเพิ่มให้ติดโควิดมากขึ้นเพราะพวกเขาไม่มีเงินที่จะอยู่บ้านเฉยๆ เพราะอดตาย"

นายภณวัชร์นันท์ กล่าวต่อว่า ธุรกิจ SME คือรากฐานในการสร้างธุรกิจของประเทศหากรัฐทิ้งขว้างไม่ดูแล อนาคต ระบบเศรษฐกิจจะทิ้งรัฐบาลและเมื่อรัฐเก็บภาษีไม่ได้เพราะไม่มี SME เหลืออีกต่อไป คนจะตกงานความอดอยากจะมาเยือน รัฐจะเอาเงินที่ไหนมาแจกและเยียวยา เตือนให้ดังๆ ไปยังรัฐบาลควรใช้งบประมาณสำรวจหน่วยงานของรัฐทั้งระบบ และออกมาตรการให้สั่งสินค้าที่ใช้ในหน่วยงานของรัฐเก่าทิ้งเปลี่ยนใหม่ แม้รัฐจะจ่ายเงินช้า แต่ก็มีอนาคต ที่ได้เงินธนาคารยังมีความหวัง อย่าสั่งแต่สินค้าต่างประเทศ อย่าปล่อยให้โอกาสเสียไปเฉยๆ และไม่ได้อะไรนอกจากแจกเงินเยียวยา ควรปล่อยเงินกู้ระยะยาวปลอดดอกเบี้ยให้ SME รับลูกจ้างมาดูและป้องกันโควิด ใช้มาตรการป้องกันให้อยู่ในสถานประกอบกิจการ SME ดูแลด้านสุขภาพอนามัยและความปลอดภัย

"ผมรู้สึกอึดอัดและอัดอั้นเป็นอย่างมาก ที่ธุรกิจเอสเอ็มอีถูกมองให้เป็นเหมือนลูกเมียน้อย ทั้งนี้ พวกผมที่ทำธุรกิจเอสเอ็มอี อยากให้รัฐบาลไปดูได้ เพราะแบกภาระในทุกๆ ด้าน ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องให้ภาครัฐหามาตรการให้ตรงจุด ซึ่งผลสำรวจจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีนั้น ก็เหมือนกับทางสว่างที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการให้กับผู้ประกอบการและผู้เกี่ยวข้องกับเอสเอ็มอีทั้งหมด เพื่อให้พ้นวิกฤติจากสถานการณ์โควิด เพราะฉะนั้น ทุกคนต้องการให้ฝนตกทั่วฟ้า ผมก็อยากเห็นน้ำใจของรัฐบาลที่ให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี มากกว่า การออกกฎหมายเพื่อให้เงินไปกู้" นายภณวัชร์นันท์ กล่าว