สันธนะพร้อมพวกรวม 5 คน เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ หลังถูกแจ้งข้อหาหนัก กรณีอุ้มรีดค่าไถ่นักธุรกิจ ชาวไต้หวัน อ้างถูกยัดเยียดข้อหา อ้างไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องของคดี หากพ้นมลทิน จะฟ้องผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่ ผบ.ตร.ยัน ผบช.น. และพนักงานสอบสวน ฐานทุจริตและประพฤติมิชอบ ด้วยการกลั่นแกล้ง
สันธนะเข้ามอบตัวคดีอุ้มรีดค่าไถ่ นักธุรกิจชาวไต้หวัน เมื่อเวลา 06.30 น. วันที่ 3 ส.ค. ที่ สน.ทองหล่อ นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อายุ 62 ปี อดีตตำรวจสันติบาล พร้อมพวกรวม 5 คน และ ทนายความ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ดวงโชติ สุวรรณจรัส ผกก.สน.ทองหล่อ เพื่อมอบตัวหลังพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ออกหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้เลขที่ 362/2564 คดีอุ้มรีดเรียกค่าไถ่ชาวไต้หวัน ในข้อหากระทำความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร ข่มขืนใจ โดยนายสันธนะอยู่ในสภาพอิดโรยหลังจากเพิ่งหายป่วยจากโรคโควิด-19 ส่วนทีมงานพนักงานสอบสวนและฝ่ายสืบสวนที่เกี่ยวข้องสวมชุด PPE ปฏิบัติหน้าที่กันทุกนาย เนื่องจากทราบข้อมูลว่า นายสันธนะ เพิ่งหายป่วยกลับจากโรงพยาบาลมาและยังอยู่ระหว่างการกักตัวต่อที่บ้าน
ต่อมาเวลา 11.20 น. หลังการสอบสวน สอบปากคำนายสันธนะ พร้อมพวก รวม 5 คนกว่า 5 ชั่วโมง พนักงานสอบสวนอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยใช้หลักทรัพย์ทั้งหมด รวม 3 แสนบาท นายสันธนะกล่าวว่า ตนเคยแถลงข้อเท็จจริงไปแล้วว่า รู้จักกับชาวต่างชาติเหล่านั้น แต่ไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องของคดี เรื่องนี้เกิดมา 4 เดือนแล้ว พนักงานสอบสวนกลั่นแกล้งตน ขอหมายจับยัดข้อหา เรื่องนี้ ตนคิดว่าจะต่อสู้อย่างถึงที่สุดปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งไว้ ยอมรับน้อยใจในการ ทำงานของเจ้าหน้าที่ เพราะขณะนี้ ตนป่วยเป็นโรคโควิด-19 หมอให้กักตัวจนถึงวันที่ 6 ส.ค.นี้ คดีนี้เกิดตั้งแต่เดือน มี.ค. รอให้ตนหายดีก่อน ตนจะมา พบพนักงานสอบสวน แต่กลับถูกตำรวจ สน.ทองหล่อ ออกหมายจับ 7 หมาย คือตนและผู้ติดตาม ซึ่งได้มามอบตัวแล้ว 5 คน ส่วนอีก 2 คน ติดโควิด 1 คน และอยู่ในช่วงกักตัวอีก 1 คน ซึ่งจะมามอบตัวในภายหลัง การถูกกระทำในครั้งนี้ เมื่อตนได้รับอิสรภาพจะดำเนินการฟ้องผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผบ.ตร. ผบช.น. และ พ.ต.ท.ศุภชัย หาญคำหล้า รอง ผกก. (สอบสวน) สน.ทองหล่อ ที่ทุจริต และประพฤติมิชอบ ด้วยการกลั่นแกล้งตนในครั้งนี้
...
ทั้งนี้ มูลเหตุแห่งคดีสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 15 พ.ค. ตำรวจกองปราบปราม จับกุมตัวนายเจเรมี่ แมนเซสเตอร์ และนายลูอิส ซิสกิน สองผู้ต้องหาสัญชาติอเมริกัน และผู้ต้องหาชาวไทยอีกหลายคน ในข้อหาร่วมกันเรียกค่าไถ่, พยายามฆ่า, อั้งยี่, ซ่องโจร, ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการ ไม่กระทำการใด โดยใช้กำลังประทุษร้ายและมีอาวุธฯ หลังนายเวน ยู ชุง นักธุรกิจชาวไต้หวัน ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายถุงมือยางทางการแพทย์ เข้าแจ้งความกับตำรวจ ว่า ถูกอุ้มไปรีดค่าไถ่ เมื่อวันที่ 28 มี.ค. ชนวนเหตุเกิดจาก การที่ นายลูอิส หนึ่งในผู้ต้องหาทำธุรกิจซื้อขายถุงมือ กับบริษัทของ นายเวน ยู ชุง แล้วเกิดความเสียหาย ทางธุรกิจ จำนวนเงินถึง 93 ล้านบาท
วันเกิดเหตุขณะที่นายเวน ยู ชุง นั่งรับประทานอาหารอยู่ที่ร้านแห่งหนึ่งย่านทองหล่อ ได้ถูกคนร้ายร่วมกันจับใส่กุญแจมือ พาตัวไปยังห้องพักรายวันที่อยู่ห่างไป 200 เมตร ก่อนจะใช้โทรศัพท์ติดต่อไป เรียกค่าไถ่จากนายจ้างเป็นเงิน 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเรียกค่าไถ่จากญาติของนายเวน ยู ชุง อีก 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ญาติๆเห็นท่าไม่ดี ติดต่อไปขอ ความช่วยเหลือยังสถานทูตให้ประสานตำรวจ กลุ่มผู้ต้องหาจึงยอมปล่อยตัว จนนำมาสู่การออกหมายจับผู้ร่วมก่อเหตุ
มีรายงานว่าผู้ต้องหาที่เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ในครั้งนี้ประกอบด้วย นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อายุ 62 ปี นายทรงยศ เชื่อถือ อายุ 53 ปี นายทรงกรด ยุบลพันธ์ อายุ 46 ปี นายพิรวัชร์ ยงทองคำทิพย์ อายุ 59 ปี และนายนายสิระภัทร์ พันธ์สายทอง อายุ 24 ปี ทั้งหมด เป็นผู้ต้องหา ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ความผิดฐาน “ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ซ่องโจร, ข่มขืนใจ ผู้อื่นให้กระทำการ ไม่กระทำการอย่างใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยมีอาวุธร่วมกระทำความผิดด้วยกัน ตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป โดยอ้างอำนาจอั้งยี่หรือซ่องโจร ไม่ว่าอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้นจะมีอยู่หรือไม่, หน่วงเหนี่ยว หรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำการด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย”