อธิบดีกรมการแพทย์ ยืนยัน เตียงคนป่วยโควิด-19 ไม่พอ ไม่ใช่ระบบสาธารณสุขล่มสลาย ขอภาครัฐ ประชาชน เข้มงวด 5 มาตรการ เห็นต่างได้แต่ต้องพูดความจริง และโปร่งใส ประเทศถึงจะรอด

วันที่ 3 ก.ค. 2564 ที่ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรคพร้อมด้วย นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ และนพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ได้ร่วมกันแถลงข่าวชี้แจงประเด็นสำคัญด้านการแพทย์และสาธารณสุข

โดยนพ.สมศักดิ์ ได้ยืนยันว่าสถานการณ์เตียงทั่วประเทศยังพอรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ได้ ส่วนกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ที่สถานการณ์ค่อนข้างหนัก ได้ขยายเตียงไปแล้วกว่า 200-300 เปอร์เซ็นต์ ในโรงเรียนแพทย์ อาทิ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ รังสิต โรงพยาบาลรามาฯ โรงพยาบาลพญาไท โรงพยาบาลวชิระ พร้อมขอแพทย์จบใหม่อย่าเพิ่งเดินทางไปใช้ทุน เนื่องจากขณะนี้ภาครัฐมีอุปกรณ์แต่ไม่มีบุคลากรปฏิบัติงาน และยังได้ขยายเตียง ICU รวมถึงยังระดมแพทย์พยาบาลจากห้อง ICU จากต่างจังหวัดมาช่วยเพิ่มเติมด้วย โดยยอมรับว่ามีคนป่วยโทรมารอเตียงอยู่ที่บ้านจำนวนหลักพัน

ดังนั้นหากไม่จำเป็นจะไม่ใช้มาตรการ Home Isolation แต่ที่ผ่านมาทางโรงพยาบาลราชวิถีได้ทดลอง 2 เดือน ในผู้ป่วยประมาณ 20-30 คน พบว่าได้ผลดี แต่ยังสามารถใช้ได้เพียงบางบ้านเท่านั้น และมีข้อบกพร่องคืออาจมีการแพร่เชื้อได้ 10% จึงทำ Community Isolation มารองรับ โดยมีหลายภาคส่วนเข้ามาร่วมด้วย พร้อมทั้งกำลังขยายเรื่องคนป่วยกรณีฉุกเฉิน เนื่องจากที่ผ่านมาตรวจพบว่าประสบอุบัติเหตุปกติ แต่เมื่อตรวจหาเชื้อกลับติดโควิด-19

นอกจากนี้ยังมีเรื่อง Hospitel ของโรงพยาบาลเอกชนที่ได้รับความร่วมมือที่ดี จึงขอความร่วมมือให้ขยายเกณฑ์การรับผู้ป่วยออกไป เพราะบางโรงพยาบาลไม่รับคนท้อง เด็ก และผู้มีน้ำหนักเกิน หากเป็นไปได้ให้นึกถึงคนไข้มากกว่าผลประกอบการ เพราะถ้าช่วยกันจะเดินไปได้

...

อย่างไรก็ตาม นพ.สมศักดิ์ ยังอยากเน้นย้ำเรื่อง 5 มาตรการที่สำคัญที่แพทย์และพยาบาลต้องการ คือ นโยบายของรัฐบาลที่ชัดเจน มาตรการเข้มข้น ประชาชนต้องร่วมมือ ระบบควบคุมโรคต้องเข้มแข็ง และเฝ้าระวังป้องกัน ควบคุม หลังจากนั้นคือการฉีดวัคซีน เพื่อลดผู้ป่วยลงไป เพราะบุคลากรหน้างานอยู่ในภาวะตรึงกำลัง หากดำเนินการไปด้วยกันจะช่วยได้มาก ส่วนปัญหาเรื่องเตียงที่ผ่านมาไม่ได้บอกว่าหากที่ใดตรวจเจอแล้วต้องรับผู้ป่วย เพียงแต่ให้ช่วยประสาน เพื่อนำผู้ป่วยเข้าระบบ ขณะที่หลายจังหวัดมีมาตรการลำเลียงผู้ป่วยกลับบ้าน หากดำเนินการพร้อมกันจะทำให้เดินไปได้เช่นกัน

ทั้งนี้ยอมรับว่า 5 มาตรการดังกล่าวมีหย่อนลงไปบ้าง ทั้งในส่วนประชาชน และเจ้าหน้าที่ จึงต้องไปทบทวนว่าประชาชนดูแลตัวเองได้ดีจริงหรือไม่ หรืออาจต้องขั้นใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่บ้าน ขณะที่เรื่องวัคซีนก็ต้องทบทวนให้ดี ต้องดูเรื่องกันหนักและกันตายว่าใครจำเป็นก่อน ซึ่งเรื่องนี้เห็นต่างได้ แต่ต้องมาพูดคุยกันแบบมีสติ และทุกอย่างต้องเอาความจริงมาพูด และต้องโปร่งใส แล้วทุกอย่างรวมถึงประเทศจะไปได้รอด เพราะโควิด-19 เป็นเชื้อแปลกที่ทำลายล้างทุกทฤษฎี ที่มองว่าการฉีดวัคซีนจะหายแต่กลับพบเชื้อกลายพันธุ์

ดังนั้นการร่วมมือกันสำคัญที่สุด การจะบอกว่าเตียงไม่พอแล้วกล่าวว่าระบบสาธารณสุขล่มสลายยืนยันว่า ไม่ใช่ เพราะการรักษาโรคด้านอื่นยังสามารถทำได้ และยังสามารถปรับระบบการดูแลผู้ป่วยมาเป็น Home Isolation และ Community Isolation จึงมั่นใจว่าถ้าร่วมมือใน 5 มาตรการดังกล่าวไปด้วยกัน ไม่มีวันที่ระบบสาธารณสุขจะล่มสลาย