"สิงห์สยามโพล" ชี้ผลสำรวจ ปชช.ส่วนใหญ่ ต้องการวัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์มากสุด และมองว่าถ้ายังไม่ได้ฉีดวัคซีนจะยังไม่เข้าร่วมกิจกรรมการชุมนุมทางการเมืองมากถึงร้อยละ 56.5

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 24 มิ.ย.64 ผศ.ดร.จิดาภา ถิรศิริกุล คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชาญชัย จิตรเหล่าอาพร คณบดีบัณฑิตวิทยาลัยสาขารัฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์สิงห์สยามโพล ร่วมกันแถลง เรื่อง สถานการณ์ความต้องการวัคซีนในประเทศไทย ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ (อาคาร 19) ชั้น 9 ห้อง19-9010 มหาวิทยาลัยสยาม

โดยทำการสำรวจข้อมูลระหว่าง วันที่ 16-20 มิถุนายน 2564 ด้วยแบบสอบถามออนไลน์จากประชาชนในเขตกรุงเทพ ปริมณฑล และเขตภาคกลาง ที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,093 หน่วยตัวอย่าง โดยใช้การสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบหลายขั้นตอน (Multi Stage Random Sampling) โดยเบื้องต้นใช้วิธีการแบบง่าย (Simple Random Sampling) โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 95.0 เพื่อเลือกพื้นที่ในการเก็บข้อมูลในเขตกรุงเทพ ปริมณฑล และเขตภาคกลางดำเนินการเก็บข้อมูลโดยการสุ่มแบบบังเอิญ (Accidental Sampling) เพื่อเก็บข้อมูลจากประชาชนที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป

ข้อค้นพบจากการสำรวจที่น่าสนใจ คือ ด้านความต้องการฉีดวัคซีนยี่ห้อ พบว่า กลุ่มประชากรตัวอย่างส่วนใหญ่มีความต้องการฉีดวัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์มากที่สุด (ร้อยละ 31.8) รองลงมาคือ ซิโนแวค (ร้อยละ 16.5) แอสตราเซเนกา (ร้อยละ 15.4 ) จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน(ร้อยละ 15.2) ซิโนฟาร์ม (ร้อยละ 9.1) โมเดอร์นา (ร้อยละ 6.0) อื่นๆ (ร้อยละ 4.5) และลำดับสุดท้ายคือ สปุตนิก V (ร้อยละ 1.6) ทั้งประชาชนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ มีสถานภาพเป็นชนชั้นกลางในชุมชนเมือง ซึ่งอยู่ในช่วงวัยทำงาน มีอายุระหว่าง 31 - 50 ปี (ร้อยละ 63.4) สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี (ร้อยละ 39.7) และมีรายได้ระหว่าง 15,001 – 25,000 บาท (ร้อยละ 47.2) โดยประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 68.3 ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน

...

และพบว่า ประชาชนผู้ตอบแบบสอบถามนี้สนับสนุนและพร้อมให้ความร่วมมือในการฉีดวัคซีนมากถึงร้อยละ 66.6 แต่กลับพบว่ามีความเชื่อมั่นถึงประสิทธิผลของวัคซีนที่ฉีดหรือต้องการจะฉีดเพียงระดับปานกลาง ร้อยละ 54.5 เท่านั้น ซึ่งแสดงถึงการขาดความเชื่อมั่นอย่างมากต่อวัคซีน ขณะเดียวกันยังขาดความเชื่อมั่นต่อระบบการฉีดวัคซีนของรัฐบาลอย่างมาก โดยพบว่ามีเพียง ร้อยละ 13.6 เท่านั้น สอดคล้องกับระดับความเชื่อมั่นในนโยบายของรัฐบาลในการจัดการวัคซีนว่ามีประสิทธิภาพเพียง ร้อยละ 7.7 เช่นกัน ซึ่งเป็นผลจากขาดการรณรงค์ประชาสัมพันธ์การฉีดวัคซีนของรัฐบาลอย่างประสิทธิภาพที่อยู่ในระดับน้อย คิดเป็นร้อยละ 38.1 เท่านั้น อย่างไรก็ดีประชาชนมีแนวโน้มที่เชื่อว่าการฉีดวัคซีนเป็นภูมิคุ้มกันหมู่นำไปสู่การเปิดประเทศและการท่องเที่ยว ซึ่งอยู่ในระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 39.8 และรองลงมาคือ มาก คิดเป็นร้อยละ 37.4 ทั้งนี้ ระดับความเชื่อมั่นต่อการแสดงบทบาทหรือศักยภาพขององค์ปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดการฉีดวัคซีนก็ปรากฏเพียง ร้อยละ 13.7 ในส่วนประเด็นการมีส่วนร่วมทางการเมือง พบว่า การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน ตัวอย่างส่วนใหญ่เห็นว่าหากยังไม่ได้ฉีดวัคซีนจะยังไม่เข้าร่วมกิจกรรมการชุมนุมทางการเมืองมากถึงร้อยละ 56.5

นอกจากนี้ได้วิเคราะห์ผลสำรวจพบว่า ประชาชน ได้เสนอแนะแนวทางให้กับภาครัฐเพื่อแก้ไขปัญหา เป็น 3 แนวทาง คือ 1. ภาครัฐควรให้ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับวัคซีนอย่างถูกต้องและครบถ้วน ได้แก่ คุณสมบัติ ข้อดี ข้อเสีย ความเหมาะสมกับผู้ใช้ของวัคซีนแต่ละยี่ห้อ กระบวนการขั้นตอนในการลงทะเบียนเข้าฉีดวัคซีน ช่วงเวลาและจำนวนวัคซีนที่มี  2. ภาครัฐควรสร้างความมั่นใจถึงความปลอดภัยและประโยชน์ที่ได้จากการเข้ารับการฉีดวัคซีนทั้งแก่ตนเองและสังคมโดยรวม 3. ภาครัฐควรกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการวัคซีนให้เกิดความชัดเจน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชนซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง.