ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คดี “ซินแสโชกุน” เจ้าของบริษัทผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ตุ๋นลูกข่ายผลิตภัณฑ์จัด ทริปเที่ยวญี่ปุ่น ลอยแพคาสนามบิน สุวรรณภูมิ 871 คนเมื่อปี 60 คงโทษ “ซินแสโชกุน” 4,355 ปี ส่วนรองประธานบริษัทและผู้ดูแลการขายของบริษัท ที่ศาลชั้นต้นยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์เห็นว่าทั้งคู่มีส่วนร่วมรู้เห็น แก้เป็นลงโทษคนละ 2,903 ปี 4 เดือน แต่ลงโทษจำคุกสูงสุด 20 ปี

ที่ศาลอาญา เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 12 มี.ค. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.2176/2560 ที่พนักงานอัยการคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัท เวลท์เอเวอร์ จำกัด น.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ หรือซินแสโชกุน อายุ 34 ปี กรรมการผู้จัดการบริษัท นางมณฑญาณ์ นิรันดร หรือจันทร์ฉาย นาคฤทธิ์ อายุ 60 ปี มารดาของซินแสโชกุน นายก้องศรัณย์ แสงประภา อายุ 26 ปี น.ส.ทัศย์ดาว สมัครกสิกรรณ์ อายุ 39 ปี เลขาฯและคนรักของซินแสโชกุน นางประนอม พลานุสนธิ์ อายุ 44 ปี รองประธานบริษัท นางณิชมน แสงประภา อายุ 68 ปี ป้าของซินแสโชกุน นางพารินธรญ์ หงส์หิรัญ ดัคเกอร์ อายุ 39 ปี ผู้ดูแลการเงินและผู้ช่วยการโฆษณาของบริษัท น.ส.สุดารัตน์ อเนกนวล อายุ 29 ปี ผู้ดูแลการขายและนายโกวิท ช่วยสัตว์ อายุ 34 ปี เป็นจำเลยที่ 1-10 ฐานร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ตาม ป.อาญา ม.341 ม.343 และ พ.ร.ก.การกู้ยืมเงิน ที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 และฟ้องจำเลยที่ 2-10 ฐานร่วมกันนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ฯ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ม.3 ม.14 (1) และซ่องโจร ตาม ป.อาญา ม.210

...

ขณะที่ บจก.เวลท์เอเวอร์ และ น.ส.พสิษฐ์ จำเลยที่ 1-2 ยังถูกฟ้องอีกในข้อหาร่วมกันจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ควบคุมฉลากโดยแสดงฉลากไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 น.ส.พสิษฐ์ จำเลยที่ 2 ในความผิดฐานซื้อหรือรับไว้ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงอากรฯ ที่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 ท้ายฟ้องอัยการยังขอให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย 51 ล้านบาทเศษ คืนให้กับผู้เสียหาย 871 คน พร้อมดอกเบี้ยที่ผิดนัดชำระร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องคดีวันที่ 6 ก.ค.60 หลังจากจำเลยชักชวนให้ผู้เสียหายเข้าเป็นสมาชิกของบริษัทผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ระหว่างเดือน ม.ค.-เม.ย.60 อ้างจะได้สิทธิ์เดินทางไปท่องเที่ยวประเทศแถบเอเชีย อาทิ เกาหลี ญี่ปุ่น ฮ่องกง แต่เมื่อถึงวันนัดหมาย ผู้เสียหายจำนวนมากไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศตามที่จำเลยโฆษณา ทำให้มีผู้ติดค้างอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ 871 คน

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษา การกระทำของ บจก. เวลท์เอเวอร์ จำเลยที่ 1 น.ส.พสิษฐ์ จำเลยที่ 2 น.ส.ทัศย์ดาว จำเลยที่ 5 และนางพารินธรญ์ จำเลยที่ 8 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตาม พ.ร.ก.กู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน ให้จำคุกจำเลยที่ 2, 5, 8 คนละ 871 กระทง กระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 4,355 ปี ให้ปรับบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 435,500,000 บาท และให้ปรับจำเลยที่ 1-2 รายละ 20,000 บาท ตามความผิด พ.ร.บ.อาหารฯ รวมโทษปรับบริษัทจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น 435,520,000 บาท ส่วนโทษจำคุกจำเลยที่ 2, 5, 8 เมื่อรวมโทษทุกกระทงความผิดตาม ป.อาญา ม.91 (2) ให้จำคุกจำเลยได้สูงสุดคนละ 20 ปี ทั้งนี้ศาลยังพิพากษาให้จำเลยที่ 1, 2, 5, 8 ร่วมกันชดใช้เงินให้ผู้เสียหาย 871 คน มูลค่ากว่า 51 ล้านบาทเศษ

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าที่อัยการโจทก์ระบุพยานหลักฐานว่า จำเลยที่ 6,9 กระทำผิดตาม พ.ร.บ.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนและนำเข้าข้อมูลเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์นั้น เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจของจำเลยที่ 1-2 โฆษณาอ้างว่าสามารถพาไปเที่ยวต่างประเทศได้ในราคาที่ถูกกว่าความเป็นจริง การทำธุรกิจนี้มีการจัดประชุมและสัมมนาหลายครั้ง จำเลยที่ 6, 9 เป็นรองประธานบริษัทและพนักงานบริษัทเข้าร่วมประชุมหลายครั้ง น่าจะทราบว่าธุรกิจของจำเลยที่ 1-2 ไม่สามารถทำได้ และหากจำเลยที่ 5, 6, 8, 9 เชื่อมั่นตนเองบริสุทธิ์จริง ก็ควรจะมอบตัวสู้คดีกับพนักงานสอบสวน แต่กลับเดินทางไปที่ จ.ระนอง พร้อมจำเลยที่ 2 ที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องจำเลยที่ 6, 9 นั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นด้วย แก้ไขการกระทำของจำเลยที่ 5, 6, 8, 9 เป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 1-2 ให้กระทำความผิด ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุดตาม พ.ร.บ.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 871 กระทง จำคุกจำเลยที่ 5, 6, 8, 9 คนละ 2,903 ปี 4 เดือน แต่เมื่อรวมโทษจำคุกตามกฎหมายแล้ว จำคุกสูงสุดคนละ 20 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น