คนติดโควิดไม่แสดงอาการมีมากขึ้น ติดเชื้อเพิ่มกว่ารอบที่แล้ว ทำประชาชนกลัว ค่อนข้างพอใจมาตรการรัฐ ไม่เข้มงวดมาก ทำให้ใช้ชีวิตได้ปกติ เห็นด้วยกับคลายล็อก เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้า

เมื่อวันที่ 7 ก.พ. ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “โควิด-19 รอบใหม่” รวมทั้งสิ้น 1,315 หน่วยตัวอย่าง โดยเมื่อถามถึงความกลัวของประชาชนว่าจะติดเชื้อไวรัสโควิดจากการแพร่ระบาดในขณะนี้ พบว่า ร้อยละ 25.86 ระบุมีความกลัวมาก เพราะมีการเเพร่กระจายอย่างรวดเร็วมาก ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อ ประชาชนบางกลุ่มยังละเลยในการป้องกันตนเอง และยังไม่มีวัคซีน หรือยารักษาให้หายขาด ร้อยละ 37.79 ระบุ ค่อนข้างมีความกลัว เพราะผู้ติดเชื้อมีจำนวนมากกว่ารอบที่แล้ว พบผู้ที่ติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการมากขึ้น ทำให้ติดกันง่ายกว่าเดิม จำเป็นต้องเดินทางไปทำงานและต้องเจอกับผู้คนจำนวนมาก

ส่วนร้อยละ 18.86 ระบุไม่ค่อยมีความกลัว เพราะประชาชนส่วนใหญ่ดูแลและป้องกันตนเองดี หลีกเลี่ยงไปพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง และมั่นใจในการทำงานของบุคลากรทางการเเพทย์ในการรักษาให้หาย และร้อยละ 17.49 ระบุว่า ไม่มีความกลัวเลย เพราะประชาชนส่วนใหญ่มีการป้องกันตนเองอย่างดีมาก และไม่ได้อาศัยในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด

เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจความกลัวของประชาชนว่าจะติดเชื้อโควิด จากการแพร่ระบาดในขณะนี้ เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2563 พบว่า ผู้ที่ระบุว่า ไม่ค่อยมีความกลัว และไม่มีความกลัวเลย มีสัดส่วนลดลง ซึ่งในขณะที่ผู้ที่ระบุว่า มีความกลัวมาก และค่อนข้างมีความกลัว มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น

...

ด้านความพึงพอใจของประชาชนต่อการดำเนินการของรัฐบาล ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2563 ถึง 31 ม.ค. 2564 ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดรอบใหม่ พบว่าร้อยละ 27.60 ระบุว่า พอใจมาก เพราะมีมาตรการควบคุมป้องกันโรคได้อย่างรวดเร็ว มีการจัดแบ่งพื้นที่เสี่ยงได้ชัดเจน สามารถทำงานหรือกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติกับพื้นที่ที่ไม่ได้คุมเข้ม ร้อยละ 42.13 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ เพราะมีการควบคุมที่ไม่เข้มงวดมากเกินไป ทำให้ประชาชนบางส่วนไม่ค่อยได้รับผลกระทบมาก ปิดเฉพาะจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก สามารถดำรงชีวิตตามปกติได้

ขณะที่ ร้อยละ 20.99 ระบุ ไม่ค่อยพอใจ เพราะการคุมเข้มกับกิจกรรมบางอย่างยังไม่รัดกุม เช่น ให้มีการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ การเดินทางข้ามจังหวัด และการเข้ามาทำงานของแรงงานต่างด้าวยังขาดการควบคุมที่รัดกุม ทำให้ยังพบผู้ติดเชื้ออยู่จำนวนมาก และร้อยละ 9.28 ระบุว่า ไม่พอใจเลย เพราะต้องการให้มีการควบคุมที่เข้มข้นเหมือนครั้งก่อน และต้องการให้มีการล็อกดาวน์ทั้งประเทศ

สำหรับความคิดเห็นของประชาชนต่อการผ่อนคลายมาตรการของรัฐในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดรอบใหม่ ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ก.พ. 2564 พบว่า ร้อยละ 43.57 ระบุเห็นด้วยมาก เพราะทำให้ธุรกิจดำเนินกิจกรรมได้ เศรษฐกิจสามารถขับเคลื่อนได้ดีขึ้น และสามารถกลับมาประกอบอาชีพ การเรียนการสอน หรือกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ ร้อยละ 34.68 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย เพราะประชาชนได้ผ่อนคลายบ้าง มีการรับมือทางการแพทย์ที่ดีขึ้น ประชาชนดำรงชีวิตสะดวกมากขึ้น และประกอบอาชีพ หารายได้เหมือนเดิม

นอกจากนี้ร้อยละ 14.75 ระบุไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดยังไม่ดีขึ้น ทำให้การใช้ชีวิตแย่ลงกว่าเดิม รายได้จะหายไปมากกว่าเดิม และต้องการให้เลื่อนระยะเวลาการเปิดสถานศึกษาออกไปอีก ร้อยละ 6.39 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย เพราะประชาชนบางกลุ่มยังละเลยการป้องกันตนเองโดยเฉพาะเด็กนักเรียน และจำนวนของผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดยังไม่ลดลง และร้อยละ 0.61 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการตัดสินใจของประชาชนเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 63.12 ระบุจะรับบริการฉีดวัคซีนฟรีจากรัฐบาล รองลงมา ร้อยละ 23.57 ระบุจะไม่ฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด ร้อยละ 7.98 ระบุจะยอมเสียเงินเองในการฉีดวัคซีนตามโรงพยาบาลเอกชนที่ได้รับการอนุญาตจากรัฐ และร้อยละ 5.33 ระบุไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ.