• แม้สุรา และการดื่มสุรา จะมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ ตั้งแต่มนุษย์ค้นพบ “เครื่องดื่มแห่งความรื่นรมย์”
  • แต่การผลิตสุราเพื่อดื่มเอง ในประเทศนั้น เป็นสิ่งผิดกฎหมาย ด้วยเหตุว่า ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีความปลอดภัยเพียงพอ ที่สำคัญ ไม่เสียภาษี

จนมาเมื่อปี พ.ศ. 2544 รัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร” ได้มีนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน โดยหนึ่งในนั้น คือการส่งเสริมให้มีการผลิตสุราแช่ชนิดสุราผลไม้ สุราแช่พื้นเมือง ผลิตภัณฑ์จากผลิตผลทางการเกษตร ที่มีแอลกอฮอล์ไม่เกิน 15 ดีกรี

เปิดโอกาสให้ชาวบ้าน ที่เรียกว่า ผู้ผลิตรายย่อย สามารถผลิตและจำหน่ายสุราพื้นเมือง ส่งผลให้มีโรงงานสุรา เกิดข้ึนจำนวนมากในชุมชนต่าง ๆ

ตามมาด้วย ผลิตภัณฑ์สุราทั้งสุราแช่ สุราหมัก ไวน์ ฯ ซึ่งในช่วงเวลานั้น มีไวน์ผลไม้ ติดป้าย "ผลิตภัณฑ์ชุมชน" ถูกผลิตออกมา วางขายกันเกลื่อนกลาด

นอกจากนี้ จากการกดดันของเกษตรกรในภาคเหนือ และอีสาน ให้รัฐบาลออกกฎหมายเพื่อรองรับการผลิตสุราพื้นบ้าน หรือ "สุราเถื่อน" ให้ถูกฎหมาย โดยอ้างเหตุผลเพื่อเสรีทางการค้าและเป็นการเพิ่มมูลค่าราคา ข้าวเหนียว ซึ่งเป็นวัถุดิบหลักและมีราคาถูก ให้มีราคาสูงข้ึน

...

รัฐบาลในขณะนั้น จึงได้เสนอ ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ... และวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2546 และคณะรัฐมนตรีได้มีมติ ให้มีการออกประกาศกระทรวงการคลังเรื่องวิธีการบริหารงานสุรา พ.ศ. 2546 (ฉบับที่ 4) เห็นชอบ นโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชนของรัฐบาล

"โดยส่งเสริมการใช้ผลผลิตทางการเกษตรทำสุรากลั่นชุมชน ประชาชนในท้องถิ่นที่ รวมกลุ่มกันจัดตั้งเป็นองค์กรที่เหมาะสมและถูกกฎหมาย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง"

ตามมาด้วย ประกาศกรมสรรพสามิตเรื่องหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขการอนุญาตให้ทำสุรากลั่น ชุมชน พ.ศ. 2546 ทำให้มีการผ่อนปรนกฎระเบียบต่างๆ ในการขอใบอนุญาตการผลิตและการจำหน่ายสุรา โดยผู้ขออนุญาตต้องเป็นสหกรณ์ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน องค์กรเกษตรกร นิติบุคคล และกลุ่มเกษตรกรที่มีภูมิลำเนาอยู่ที่สถานที่ทำสุราตั้งอยู่

ดูแล้ว น่าจะไปได้สวย เพราะเข้ากับลักษณะนิสัยแบบไทยๆ สุดๆ แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น..

เพียงไม่นาน "โรงงานสุราเล็กๆ" เหล่านี้ ก็ถูกตั้งคำถามถึงมาตรฐานการผลิต ความปลอดภัยของผู้บริโภค ความปลอดภัยของชุมชน น้ำเสียที่ถูกปล่อยออกมาจากโรงงาน

ที่สำคัญคือ เมื่อมีการผลิตอย่างถูกกฎหมาย ผู้ผลิตจะต้องจ่ายภาษีเข้ารัฐ ในรูปแบบของภาษีโรงกลั่น อากรแสตมป์ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น จำเป็นต้องจำหน่ายในราคาแพงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคหดหาย และส่วนหนึ่งหันไปพึ่ง สรถ.(สุราเถื่อน) แบบเดิม!

ปัจจุบัน จึงเหลือผู้ผลิตสุรากลั่น ไม่มากนัก ที่ยืนหยัดอยู่ได้ ส่วนใหญ่ใช้การทำการตลาดผ่านช่องทางต่างๆ เป็นที่รู้จัก มีผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน มีร้านค้า สถานที่จำหน่าย มีกลิ่น มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ฯลฯ   

เหล่านี้ คือคำถามและคำตอบ ที่ว่า เกาหลีมีโซจู ญี่ปุ่นมีสาเก จีนมีเหมาไถ แล้วไทยมีเหล้าอะไร ไว้เชิดหน้าชูตารับแขกบ้านแขกเมือง

ทั้งๆ ที่มีสูตรหมัก สูตรส่วนผสมต้มกลั่นสุรา เป็นเอกลักษณ์ของชาติ และเมากันมาแล้วตั้งแต่ดึกดำบรรพ์..

(อ้างอิงงานวิจัย “สุราชุมชน สถานการณ์ปัญหาในสังคมไทย” โดย สาวิตรี อัษณางค์กรชัย วรานิษฐ์ ลำไย)