“ครูอนาจารลูกศิษย์” ปัญหาเรื้อรังตอกย้ำความเสื่อมที่มีมานานในสังคมไทย เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าสะเทือนวงการการศึกษา หรือด้วยระบบอุปถัมภ์ อำนาจของผู้ใหญ่เหนือกว่าเด็ก เอื้อต่อคนกระทำผิดให้สามารถยืนชูคออยู่ในสังคม โดยไม่ละอายกับสิ่งที่ทำไป
เรื่องราวของเด็กนักเรียนถูกกระทำอนาจาร ลวนลามทางเพศ ไม่ได้มีเฉพาะครูผู้ชายกระทำกับนักเรียนหญิงเท่านั้น แต่ยังมีนักเรียนชายถูกล่วงละเมิดทางเพศ หรือแม้กระทั่งครูผู้หญิง ลวนลามนักเรียนหญิงเพศเดียวกันก็มี และยิ่งเป็นการเปิดให้เห็นแผลเหวอะหวะความรุนแรงทางเพศในโรงเรียน เมื่อหญิงสาวสวมชุดนักเรียนชั้นมัธยมปลาย ชูป้าย “หนูถูกครูทำอนาจาร โรงเรียนไม่ใช่สถานที่ปลอดภัย” กลางม็อบนักเรียนเลว จนเกิดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา แม้เป็นเรื่องในอดีตเมื่อ 5 ปีที่แล้วของหญิงสาวรายนี้ ตกเป็นเหยื่อของอาจารย์ แต่คงยังมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกต่อเนื่องไม่จบสิ้น ทั้งที่ไม่เปิดเผยและเปิดเผยออกมา
ยิ่งบ่งบอกชัดเจนว่าโรงเรียน ไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัย อย่างที่พ่อแม่ผู้ปกครองเคยคิดและไว้วางใจ เช่นเดียวกับ ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ผู้อำนวยการศูนย์วิชาการและเครือข่ายวิชาการด้านเด็ก เยาวชน และครอบครัว คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวกับ “ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์” ว่า ประเด็นครูอนาจารลูกศิษย์ เป็นเรื่องละเอียดอ่อนในสังคมไทย ถูกกดดันมายาวนาน ไม่ได้มีการแก้ไขปัญหาให้เสร็จสิ้น เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบ “เคสบายเคส” ไม่ได้ทำให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัย จนในที่สุดกลายเป็นวัฒนธรรมความเงียบงัน เมื่อเกิดปัญหาล่วงละเมิดทางเพศก็จะทำให้จบลง เพราะสังคมไทยไม่ยอมรับ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องจริง
...
“พอเกิดเรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้ขึ้นมา คนที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย จะพยายามทำให้เรื่องจบเร็ว จนถูกลืมในที่สุด แต่เมื่อมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แสดงความกล้าหาญเปิดเผยขึ้นมา สังคมกลับนำมาโยงกับเรื่องการเมือง กำลังรุมทำร้ายเด็กคนนี้ เบี่ยงเบนประเด็นที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ให้ผิดข้อเท็จจริงไปทางอื่น แทนที่จะปกป้อง และถ้าถามผมว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ ในฐานะทำงานด้านนี้มานาน ต้องบอกว่าจริง เพราะตามปกติเด็กจะไม่พูดโกหก ในสิ่งที่ได้รับผลกระทบขึ้นมา”
จากสิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า เด็กหญิงคนนี้มีความเสียสละ เพื่อสังคมอย่างมาก ในการเอาเรื่องราวชีวิตออกมาเปิดเผย “หนูถูกครูทำอนาจาร” ทำให้เห็นภาพความรุนแรงในสังคมไทย และเห็นการขุดคุ้ยกล่าวร้าย การบูลลี่ จนลืมเรื่องของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งต้องเผชิญกับการเจ็บป่วย ทั้งที่เด็กหญิงคนนี้ มีความกล้าหาญออกมาเปิดเผย กลับกลายเป็นเรื่องการเมือง ไม่สนชีวิตของเด็กคนนี้จะเป็นอย่างไร
ศ.ดร.สมพงษ์ เห็นว่า กระทรวงศึกษาธิการ ควรทำงานเชิงรุกให้มากขึ้น รีบตั้งกรรมการสอบสวนโรงเรียนที่เกี่ยวข้องว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เพราะสังคมต้องการคำตอบ แม้ผู้เกี่ยวข้องในโรงเรียนจะไม่มีใครยอมรับก็ตาม แต่กระทรวงศึกษาธิการ ควรรีบดำเนินการ และต้องให้ความเป็นธรรม
สำหรับปัญหาการลวนลามทางเพศในโรงเรียน อยากเสนอว่าต่อไปนี้ หากเด็กนักเรียนต้องเผชิญกับเหตุการณ์ ควรตั้งสมมติฐานไปก่อนว่าเด็กถูกกระทำจริง แต่ไม่ควรตั้งสมมติฐานว่าสร้างเรื่องดราม่า เพราะคงไม่มีใครกล้าเอาชีวิตมาเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้ อีกทั้ง ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้ออกมายอมรับว่าโรงเรียนเป็นพื้นที่ไม่ปลอดภัย จึงมีนโยบายจะทำให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย และไม่ให้มีการบูลลี่ ล้อเลียนกันอีกต่อไป
“ต้องยึดสิทธิความเท่าเทียมกัน อย่ามีความเหลื่อมล้ำ อย่าให้เด็กที่ถูกกระทำรู้สึกโดดเดี่ยว ควรเข้าช่วยเหลือเด็กแบบเร่งด่วน ไม่ใช้ระบบประนีประนอมช่วยเหลือพวกกันเอง จนเกิดวัฒนธรรมองค์กรที่กดทับผู้ด้อยกว่าด้วยอำนาจ และเพศ ยกให้ชายเป็นใหญ่กว่าหญิง กลายเป็นวัฒนธรรมเงียบงัน กลายเป็นที่ยอมรับกันเอง หากใครออกมาเปิดเผยความจริงก็กลายเป็นว่า เด็กคนนี้แรด แสดงให้เห็นว่าสังคมกำลังแสดงออกอย่างผิดพลาด ไม่ยอมรับในเรื่องนี้ และสงสัยเคสครูข่มขืนนักเรียนในมุกดาหาร ทำไมจึงเงียบและหายไปเลย พยายามบอกว่าเด็กสุมหัวร่วมด้วย ทั้งที่เด็กยังเป็นเด็ก มีความไร้เดียงสา”
...
สุดท้ายแล้วท่ามกลางความเปรอะเปื้อนที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก จากพฤติกรรมของครูบาอาจารย์ กระทำต่อลูกศิษย์ เพราะขาดคุณธรรมความเป็นครู ทั้งที่เรื่องคุณธรรมเป็นสิ่งสำคัญ และจำเป็นมากสำหรับคนทำอาชีพนี้ แต่ที่ผ่านมาผู้เกี่ยวข้องไม่ให้ความสำคัญในประเด็นนี้ และในทางตรงกันข้ามได้ให้ความสำคัญเรื่องความก้าวหน้าในตำแหน่งมากกว่า ทำอย่างไรจะได้เติบโตเป็นผู้บริหาร จนมองข้ามคุณธรรม เพื่อทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองไว้วางใจได้ว่าโรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัยจริงๆ หากระบบการศึกษาของไทย ยังไม่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนรู้ ก็จะพังในที่สุด โดยเฉพาะปัญหาการศึกษาของไทยที่แก้ยากที่สุด คือ เรื่องกฎระเบียบ ดังนั้นถึงเวลาแล้วต้องปฏิรูปการศึกษาโดยเร็วที่สุด.