บอร์ด อคส.ประชุมด่วน ตั้งกรรมการสอบกรณีอดีตรักษาการ ผอ.อคส. “พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์” จัดซื้อถุงมือยาง 500 ล้านกล่อง มูลค่า 112,500 ล้านบาท ไม่ผ่านบอร์ด สั่งยกเลิกสัญญา ร้องทุกข์ดีเอสไอ-ปปง.อายัดเงินที่โอนให้ผู้ผลิต ตรวจสอบเส้นทางเงิน และดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้อง เจ้าตัวแจง ทำตามอำนาจหน้าที่ไม่ได้ทุจริต ตั้งใจทำกำไรให้ อคส. หลังขาดทุนต่อเนื่อง 5 ปีกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท เกรงจะต้องเข้าฟื้นฟูเหมือนหน่วยงานอื่น ส่วนเหตุที่ไม่เสนอบอร์ดพิจารณาก่อน เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน แต่เวียนขอมติบอร์ดเป็นรายคนแล้ว พร้อมต่อสู้ด้วยพยานหลักฐาน

กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 31/2563 ลงวันที่ 14 ก.ย.63 เรื่องให้เจ้าหน้าที่รัฐมาปฏิบัติหน้าที่ในกรอบอัตรากำลังชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ บรรจุและแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สั่งย้ายด่วน พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง องค์การคลังสินค้า (อคส.) มาปฏิบัติหน้าที่สำนักนายกฯ เนื่องจาก พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ขณะทำหน้าที่รักษาการ ผอ.อคส. นำเงิน อคส.ไปซื้อถุงมือยางมูลค่า 2,000 ล้านบาท โดยไม่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการ อคส. (บอร์ด) อาจเข้าข่ายพัวพันการทุจริต

ความคืบหน้าจากกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เมื่อวันที่ 17 ก.ย. บอร์ด อคส.พิจารณาเรื่องดังกล่าวเร่งด่วน มีมติระงับการจัดซื้อถุงมือยางและยกเลิกสัญญา เพราะถือว่าสัญญาเป็นโมฆะ เนื่องจากรักษาการ ผอ.อคส.ไม่มีอำนาจอนุมัติงบเกิน 25 ล้านบาท หากเกินกว่านั้นแต่ไม่เกิน 50 ล้านบาทต้องเสนอประธานบอร์ด อคส.พิจารณา หากเกิน 50 ล้านบาทต้องเสนอบอร์ดพิจารณา แต่ครั้งนี้ต้องจัดหาเงินมากถึง 2,000 ล้านบาท และไม่ได้เสนอบอร์ดพิจารณาพร้อมกันนั้น ให้อำนาจ อคส.แจ้งความกรม สอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ฐานฉ้อโกง ให้อายัดเงินในบัญชีที่ อคส.โอนให้บริษัทผู้ผลิตถุงมือยาง และตรวจสอบเส้นทางของเงินด้วย ถือว่า การดำเนินการของ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์เป็นการกระทำการลุแก่อำนาจโดยพลการ ไม่ผ่านที่ประชุมบอร์ด และไม่รายงานนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ทราบ นอกจากนี้ ยังสั่งให้ ผอ.อคส. แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ซึ่งดำเนินการไปแล้วเมื่อวันที่ 15 ก.ย.

...

ด้าน พ.ต.อ.รุ่งโรจน์เผยว่า รับทราบคำสั่งนายกรัฐมนตรีแล้วแต่ยังไม่ได้ไปรายงานตัว รอหนังสืออย่างเป็นทางการ ขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า กรณีที่เกิดขึ้นนี้ตนดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายคือ พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การคลังสินค้า 2498 มาตรา 26 วรรคแรก ไม่ได้ทุจริต และเป็นความตั้งใจจะล้างขาดทุนสะสมของ อคส.ช่วง 5 ปีติดต่อกัน ที่มีกว่า 11,000 ล้านบาทให้หมด การจัดซื้อถุงมือยางดังกล่าว เกิดขึ้นหลังผู้ส่งออกมาสอบถาม อคส.ว่า จัดหาถุงมือยางให้ได้หรือไม่ เพราะต้องการส่งออกไปสหรัฐฯและยุโรปถึง 500 ล้านกล่อง กล่องละ 230 บาท ตนเห็นเป็นโอกาสที่ อคส.จะซื้อขายถุงมือยางและทำกำไรได้ จึงติดต่อผู้ผลิตไปหลายราย ในที่สุดสั่งซื้อจากบริษัทการ์เดียน โกลฟส์ จำกัด บริษัทมีหนังสือเสนอราคาลงวันที่ 27 ส.ค.63 เสนอราคากล่องละ 225 บาท รวมมูลค่า 112,500 ล้านบาท ให้ อคส.ชำระเงินล่วงหน้า 2,000 ล้านบาทระยะเวลาส่งมอบภายใน 2 ปี

พ.ต.อ.รุ่งโรจน์กล่าวต่อว่า ก่อนดำเนินการประชุมคณะทำงานด้านการลงทุนของ อคส. เห็นตรงกันว่า จะซื้อขายถุงมือยางเพราะเป็นโอกาสทำกำไร ล้างขาดทุนสะสมขององค์การ ถ้า อคส.ไม่ทำอะไรเลย อาจต้องยุบองค์การหรือเข้าสู่การฟื้นฟูเหมือนรัฐวิสาหกิจอื่น เมื่อถึงเวลานั้นพนักงานจะเดือดร้อนอีกมาก อาจถูกลอยแพ จึงตกลงซื้อขายกับบริษัทการ์เดียน โกลฟส์ฯ เพราะให้วางเงินล่วงหน้า 2,000 ล้านบาท ซึ่ง อคส.พอมีอยู่ ขณะที่หลายๆบริษัทให้วางเงินร้อยละ 50 ของมูลค่าสินค้า เราไม่มีเงินมากขนาดนั้น บริษัททยอยส่งมอบมาบางส่วนแล้ว

“ส่วนสาเหตุที่ไม่ผ่านการพิจารณาของบอร์ด เพราะเรื่องนี้เป็นกรณีเร่งด่วน ถ้าเสนอให้พิจารณาตามประชุมจะล่าช้า จึงเวียนขอมติเป็นการเร่งด่วนก่อนจัดซื้อ และจัดทำร่างสัญญาซื้อขายอย่างถูกต้อง ยกร่างจากสัญญาซื้อที่ผ่านการตรวจสอบของสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว พร้อมแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจรับสินค้า การจ่ายสินค้าให้กับผู้ซื้อ และจัดทำรายงานการรับจ่ายสินค้าเพื่อให้บันทึกบัญชีซื้อขายด้วย ยืนยันว่า การดำเนินการทั้งหมดทำตามอำนาจหน้าที่ที่มีตามกฎหมาย ไม่ได้ทำโดยพลการ เพราะเวียนขอมติจากบอร์ดแล้ว ไม่ทุจริตแน่นอน พร้อมชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมด และต่อสู้ด้วยพยานหลักฐานต่อคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง” พ.ต.อ.รุ่งโรจน์กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากนายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต รับตำแหน่งผู้อำนวยการ อคส.คนใหม่ เมื่อวันที่ 10 ก.ย. มีรายงานเรื่องต่างๆให้ทราบ รวมทั้งเรื่องการลงทุนใน โครงการต่างๆ และหนึ่งในนั้นคือ การจัดซื้อถุงมือยาง 500 ล้านกล่อง มูลค่า 112,500 ล้านบาท มีการตั้งคำถามว่า เหตุใดไม่ผ่านการพิจารณาของบอร์ด อคส. นายเกรียงศักดิ์จึงรายงานเรื่องนี้ต่อนายจุรินทร์ นำมาซึ่งการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง และเสนอให้นายกฯสั่งย้าย พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ไปสำนักนายกรัฐมนตรีจนกว่าการสอบข้อเท็จจริงจะแล้วเสร็จ