- ผ่านไป 4 เดือน คดีน้องชมพู่ เสียชีวิตปริศนาบนเขาภูเหล็กไฟ พื้นที่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ยังมืดมนไร้คำตอบ ว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องทำให้เด็กหญิงวัย 3 ขวบ เสียชีวิต และกลายเป็นว่าทุกคนในหมู่บ้าน รวมทั้งบุคคลใกล้ชิด ตกเป็นผู้ต้องสงสัยไปทั้งหมด
- ห้วงเวลาการคลี่คลายคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมการเกาะติดของสื่อแบบไม่ปล่อย ได้เกิดปรากฏการณ์พลิกผัน จากเรื่องราวความเศร้า กลายเป็นเวทีแจ้งเกิดของ “ลุงพล” หรือนายไชย์พล วิภา ซึ่งเป็นลุงของน้องชมพู่ หนึ่งในผู้ต้องสงสัย กลับโด่งดังราวกับ “ซุป'ตาร์” มีแฟนคลับจำนวนมาก และงานโชว์ตัวแบบแพ็กคู่กับ “ป้าแต๋น” ผู้เป็นภรรยา ย่ิงไปกว่านั้นยังร่วมร้องเพลง “เต่างอย” กับนักร้องหมอลำชื่อดัง “จินตหรา พูนลาภ”
- เมื่อมีคนรักก็ต้องมีกลุ่มเห็นต่างในทางตรงกันข้าม เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์มากมายในเชิงลบกับ “ลุงพล” จนเกิดแฮชแท็กติดเทรนด์ทวิตเตอร์ “#แบนลุงพล” มีการร่วมรณรงค์ไม่ซื้อสินค้า หรือบริการใดๆ ที่ลุงพลเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพราะลุงพลยังตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีน้องชมพู่ เหมือนการนำผู้เสียชีวิตมาหากิน ซึ่งไม่เหมาะสม
...
จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในกรณี “ลุงพล” ไม่ต่างกับ “ครูปรีชา” ในคดีหวย 30 ล้าน เพราะได้กลายเป็นคนดัง เป็นที่รู้จักของคนในสังคม ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นคนร้าย หรือเป็นผู้ต้องหาหรือไม่? ในมุมมองของ "ดร.ภูษิต วงศ์หล่อสายชล" รองคณบดีฝ่ายบริหาร วิทยาลัยผู้ประกอบการ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยต้องบอกว่า “ลุงพล” มีความสามารถไม่แพ้คนจบด้านการตลาดระดับปริญญาเอกเลยทีเดียว ในเรื่องมาร์เก็ตติ้ง เดอะซีรีส์ ถือเป็นวิธีการตลาดที่มีจังหวะจะโคน เริ่มจากคนไทยมีความขี้สงสาร ชอบคนจริงใจใสซื่อ จากที่ลุงพลเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีน้องชมพู่ได้ออกมาปรากฏตัวจนทำให้ผู้คนขุดคุ้ยประวัติต่างๆ และไม่พบประวัติน่าสงสัย นอกจากรูปภาพในอดีตที่หน้าตาดี เป็นสิ่งดึงดูดใจ (Appeal) ทำให้คนคิดว่าลุงพลน่าจะเป็นคนดี อีกทั้งคนไทยชอบคนซื่อๆ ใสๆ ซึ่งเป็นคุณสมบัติของลุงพล
นอกจากนี้กรณี “ลุงพล” ยังเป็นการใช้อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) จากการเข้ามาของ “หมอปลา” ในพื้นที่บ้านกกกอก และมาบอกว่าลุงพลเป็นคนดี ทำให้โด่งดังเหมือนพลุแตก ตามหลักทฤษฎีการตลาด 5A ของ Philip Kotler เจ้าของหนังสือ Marketing 4.0 คือ 1.ลุงพล มีความน่าดึงดูด (Appeal) จากผู้คน เพราะความน่าสงสาร จนกลายเป็นซีรีส์ 2.มีคนให้การสนับสนุน (Endorser) จากการที่จินตหรา พูนลาภ ได้เข้ามา ซึ่งทั้งคู่ต่างมีแฟนคลับเป็นของตัวเอง ทำให้เกิดการขยายฐาน
3.มีการสร้างฐานแฟนคลับ เกิดการกดไลค์ กดแชร์เป็นจำนวนมาก เนื่องจากสื่อทีวีนำเสนอเรื่องราวของลุงพลในทุกช่องทาง ทำให้สามารถเข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย 4.มีการเปิดยูทูบของตัวเอง ยิ่งเป็นการตอกย้ำแบรนด์ร่วมกับ “ป้าแต๋น” และมีเรื่องใหม่ๆ เข้ามาตลอด ซึ่งเป็นการสร้างแบรนด์ของตัวเอง (Personal Brand) และจากสื่อมีเดียที่มีคนลงให้ฟรีไม่ต้องเสียเงิน (Earned Media) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าลุงพลสร้างมีเดียของตัวเองได้ทุกช่องทาง แต่ขณะเดียวกันได้มีกลุ่มคนไม่ชอบ “ลุงพล” ขึ้นมาเช่นกัน ดังนั้นหน้าที่ของนักการตลาด ต้องสามารถดูแลแฟนคลับให้อยู่กับเราได้อย่างไร
“จากเดิมลุงพลเป็นคนที่น่าสงสัยในคดีน้องชมพู่ แต่ปัจจุบันกลายเป็นคนดี ทำให้สังคมช็อก อีกทั้งสื่อจำนวนมากนำเสนอข่าวอย่างต่อเนื่อง เป็นตัวส่งผลทำให้คนอยากรู้เรื่องราวลุงพล หากไม่ติดตามเรื่องนี้ก็จะเป็นคนเชย อีกอย่างคนส่วนใหญ่ชอบเรื่องไม่มีแก่นไม่มีสาร ชอบเรื่องเบาสมอง ชอบดูละครน้ำเน่า ทำให้เรื่องลุงพลกลายเป็นซีรีส์ จนคนคาดไม่ถึงในที่สุด และลุงพล เป็นเหมือนสินค้า โดยสื่อทุกสื่อพร้อมใจสร้างมูลค่า นำมาซึ่งผลประโยชน์ และโฆษณาต่างๆ ก็ตามมา หากจัดการให้ดี สร้างกระแสทุกวัน แม้แต่นั่งกินข้าวผ่านช่องทางยูทูบ ก็มีคนติดตามดูเหมือนเป็นดาราคนหนึ่ง”
...
ความดัง "ลุงพล" อาจแค่ชั่วคราว หากไร้คนหนุน
ส่วนกระแสความดังของ “ลุงพล” จะอยู่ได้นานหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการสนับสนุนจากคนรอบข้าง หากคนรอบข้างยังสนับสนุนอยู่ก็มีโอกาสอยู่ได้นาน และตรงกันข้ามกับกลุ่มคนที่ไม่ชอบ “ลุงพล” หากกระแสแรงมาก มีการจัดการไม่ดี อาจทำให้อยู่ได้ไม่นาน
หรือความดังของ “ลุงพล” อาจเกิดจากความบังเอิญ หรือเกิดจากความสามารถจากการมีโอกาสและจังหวะก็อาจเป็นไปได้ ซึ่งไม่ต่างกับหลายคนที่โด่งดังขึ้นมา อย่างกรณี “ครูปรีชา” จากเป็นคนโนเนม ไม่มีชื่อเสียง สามารถถูกสร้างจนดังขึ้นมาได้ หรือจากผู้ร้ายมาเป็นคนดี หรืออย่างปัจจุบันนิยมทำละครซีรีส์วาย แนวชายรักชาย ซึ่งเรตติ้งพุ่งกระฉูดจนทีวีหลายช่องต้องทำ
“สรุปแล้วทุกอย่างบนโซเชียลมีเดีย อะไรต่อมิอะไรก็เกิดขึ้นได้ตลอด สามารถหยุดให้คนหันมาสนใจได้ จากหลักการตลาดที่ต้องจ่ายเงินเพื่อสร้างแบรนด์ให้คนเห็นสินค้า กลับกลายเป็นไม่ต้องจ่ายเงินก็ได้ อย่างกรณีลุงพล คนชอบความใสซื่อ จนกลายเป็นลุงพล เดอะซีรีส์ จากผู้ต้องสงสัยกลายเป็นซุป'ตาร์ หรือละครน้ำเน่า คนชอบด่าละครอะไร แต่ก็มีคนชอบดูเป็นจำนวนมาก ต่างกับละครดีๆ มีสาระ คนกลับดูน้อย”.
...
ผู้เขียน : ปูรณิมา