เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า ความคิดเห็นที่แตกต่างกันของคนในสังคม เป็นปรากฏการณ์ปกติที่เกิดขึ้นในทุกสังคม ทั้งความแตกต่างกันทางด้านความคิด ความเชื่อทางศาสนา การเมือง ค่านิยม วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็น หรือความเชื่อที่แตกต่างกันนั้น อาจจะนำไปสู่ความขัดแย้ง และการใช้ความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ ได้ หากมีการบิดเบือนและถูกตีความไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง

รศ.พ.ต.ท. ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ผู้ช่วยอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวกับ "ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์" ว่า จากการศึกษาปรากฏการณ์ทางสังคมและประวัติศาสตร์ในหลายประเทศ พบว่า ความแตกต่างทางความคิด ความเชื่อ สามารถนำไปสู่การทำร้ายซึ่งกันและกันของคนในชาติ จนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก เช่น ในประวัติศาสตร์ของประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีในช่วงอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ขึ้นเป็นผู้นำประเทศ มีการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์หลายล้านคน หรือในประเทศสาธารณรัฐรวันดา ที่มีการเข่นฆ่ากันจำนวนมาก เป็นต้น และผลจากความแตกต่างทางความคิด นำไปสู่ความเกลียดชัง จนนำไปสู่อาชญากรรม หรือที่เรียกว่าอาชญากรรมแห่งความเกลียดชัง (Hate crime)

“เป็นที่น่าสนใจว่าคนในประเทศที่มีการเข่นฆ่ากันนั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้มีความขัดแย้งกันเป็นการส่วนตัว แต่เป็นเพราะอาจมีแนวคิด ความเชื่อที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะหากมีเรื่องของอำนาจ และผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง”

...

นอกจากนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่า บุคคลที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานระดับสูง ผู้นำทางความคิด บุคคลสาธารณะ ศิลปิน ดารา หรือบุคคลที่ได้รับความสนใจจากสาธารณะ ย่อมมีอิทธิพลทางความคิดของคนในสังคมเป็นวงกว้างกว่าบุคคลธรรมดาทั่วๆ ไป การถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ความเชื่อ ทัศนคติต่างๆ ของบุคคลเหล่านี้ มักมีการแสดงออกในหลากหลายรูปแบบที่แตกต่างกันทั้งคำพูด อากัปกิริยา ท่าทาง การแสดงออกผ่านการนำเสนอในรูปแบบต่างๆ ทั้งการสัมภาษณ์ผ่านสื่อ การจัดทำคลิปเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ภาพถ่าย หรือภาพวาด เป็นต้น การแสดงความคิดเห็น หรือการแสดงออกเหล่านั้น ย่อมเป็นที่สนใจและถูกถ่ายทอดไปยังผู้คนจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่การติดต่อสื่อสารกับคนจำนวนมากผ่านช่องทางต่างๆ ทางสื่อสังคมออนไลน์

ดังนั้นคำพูดที่สร้างความเกลียดชัง (Hate speech) มีส่วนสำคัญจะนำไปสู่ความขัดแย้งของคนในสังคม จนอาจทำให้บุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่มีความแตกต่างทางด้านความคิด ความเชื่อ เกิดความขัดแย้งที่รุนแรงยิ่งขึ้น และมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่อาชญากรรมแห่งความเกลียดชัง (Hate crime) จนอาจนำไปสู่การต่อสู้โดยใช้กำลังทำร้ายซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะสังคมไทย ซึ่งเป็นสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำทางด้านสถานภาพทางสังคม ความไม่เท่าเทียมกันในด้านต่างๆ ดังที่กำลังปรากฏเป็นข่าวในเรื่องความเหลื่อมล้ำทางสังคมกับความยุติธรรม ซึ่งการใช้คำพูด กิริยาท่าทาง การแสดงออกต่างๆ ออกสู่สาธารณะ ได้ส่งผลต่อความรู้สึกนึกคิดของคนในสังคม จึงมีความละเอียดอ่อน และต้องระมัดระวังอย่างยิ่งโดยเฉพาะในปัจจุบัน

ที่ผ่านมาประเทศไทยกำลังประสบปัญหาหลายด้านทั้งภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากโรคระบาดโควิด-19 ปัญหาการเลิกจ้างงานจำนวนมาก และปัญหาหลากหลายต่างๆ ดังนั้น การรับฟังข้อเรียกร้องของคนในสังคมที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันทางความคิด ควรมีการใคร่ครวญ ทบทวน วิเคราะห์ถึงข้อเรียกร้อง และปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรอบคอบ เพื่อร่วมกันแสวงหาทางออก น่าจะเป็นหนทางที่ดี

“ที่สุด มิใช่เพราะเรื่องทางการเมืองเท่านั้น แต่เพื่อลดความขัดแย้งที่กำลังมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น และมิให้ลุกลามบานปลายนำไปสู่การใช้ความรุนแรงของคนในสังคม เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าความเชื่อหรือความคิดที่แตกต่างกัน ทุกฝ่ายควรยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญที่สุด และต้องอยู่เหนือกว่าผลประโยชน์ส่วนตน”.