“สิระ” เดินเครื่องเรียกสอบทันตแพทย์ กรณีใช้สารโคเคนรักษาฟัน ทันตแพทยสภาเต้น ยันไม่ใช้โคเคนในยาชามาเป็น 100 ปีแล้ว ทันตแพทย์ “บอส” โผล่ ยืนยันไม่เคยให้สารที่มีโคเคนรักษา พร้อมรวบรวมหลักฐานเข้าชี้แจง อย.แจงใช้โคเคนในการรักษาพยาบาลเฉลี่ยปีละ 1 กก. “ธานี อ่อนละเอียด” แจง 6 ข้อ อดีต กมธ.กฎหมายฯ สนช.ไม่ได้ฟอกคดี ยันไม่มีอิทธิพลเปลี่ยนคำสั่งอัยการ หลังแถลงรีบชิ่งไม่ตอบความสัมพันธ์ทนาย “บอส” “รสนา” ยื่นหนังสือให้ “ชวน หลีกภัย” ขอบันทึกประชุมอดีต กมธ.กฎหมาย สนช.เอาไปตรวจสอบ หวั่นมีผลประโยชน์-สินบนเอี่ยว “ศตวรรษ” แถลงผลตรวจสอบเบื้องต้นคณะกรรมการฝ่ายตำรวจ 3 ประเด็น แจงผลตรวจร่างกายบอสจาก รพ.รามาธิบดีพบสาร 4 ตัว 2 ตัวแสดงว่ามีการเสพโคเคนอีน อยู่ระหว่างตรวจสอบว่า อาจได้จากยาปฏิชีวนะอื่นหรือไม่ ขณะที่ “บอส” ให้การไว้ว่าหมอฟันให้กินยาแอมม็อกซิลีน ที่แพทย์ยืนยันชัดว่าไม่มียาเสพติด ส่วน “จารุชาติ มาดทอง” ที่เสียชีวิต ไม่ได้ให้การเรื่องความเร็วรถกับตำรวจตั้งแต่เกิดเหตุ แต่มาให้ปากคำกับอัยการทีหลังเมื่อปลายปี 2562 ผบก.ศพฐ.5 ประชุมร่วมตำรวจเชียงใหม่ ทำคดีละเอียดยิบทุกแง่มุม ตรวจวงจรปิดพบรถกระบะปริศนาขับตามผู้ตายก่อนเสียชีวิต อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าเกี่ยวข้องกับคดีหรือไม่ แม่เผยยังไม่มีหน่วยงานไหนยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
กรณีสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น (CNN) ตีแผ่ข่าวอัยการสั่งไม่ฟ้องคดีนายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา อายุ 31 ปี กรณีขับรถสปอร์ตเฟอร์รารี่ ชนรถ จยย.ของ ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่งานปราบปราม สน.ทองหล่อ เสียชีวิตบนถนนสุขุมวิท เหตุเกิดเมื่อเช้ามืดวันที่ 3 ก.ย.2555 แล้วหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ จนถูกออกหมายจับ รวมทั้งออกหมายแดงตำรวจสากล (อินเตอร์โพล) หลังการสั่งคดียืดเยื้อมากว่า 7 ปี ความผิดบางข้อหาหมดอายุความไปแล้ว เหลือแต่คดีหลักขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย อายุความ 15 ปี ต่อมาอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้องโดยตำรวจไม่มีความเห็นแย้งอย่างเงียบๆ ทำให้นายวรยุทธกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ ขอถอนหมายจับทั้งในประเทศและตำรวจสากล หลังความแตกสร้างกระแสความไม่พอใจให้คนในสังคมอย่างรุนแรง จนหน่วยงานอัยการ ตำรวจ รวมไปถึงรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งตรวจสอบคดีที่เกิดขึ้น ขณะที่ กมธ.หลายชุดร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริง เดินเครื่องเรียกผู้เกี่ยวข้องมาให้ปากคำ จนมีรายละเอียดในคดีน่าสงสัยหลายจุดถูกนำมาตีแผ่ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
...
“วิษณุ” ชี้ “ทีมวิชา” ต้องหาช่องโหว่
ความคืบหน้าจากทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 08.45 น.วันที่ 31 ก.ค. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 225/ 2563 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน มีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธาน จะทำให้คดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา ได้ข้อสรุปเลยหรือไม่ว่า ไม่รู้ว่าจะจบหรือไม่ แต่เขาคงต้องทำไปจนจบให้เสร็จภายใน 1 เดือน ต้องทำหลายอย่าง สรุปข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายความเป็นมา พฤติกรรมคนเกี่ยวข้องทั้งหมด โดยไม่ไปแทรกแซงดุลพินิจ ถ้าพบจุดอ่อนตรงไหนต้องบอกทั้งหมด อีกส่วนต้องทำเป็นบทเรียนป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นในอนาคต ควรแก้อะไรตรงไหน ทั้งในส่วนอัยการ ตำรวจ และกระบวนการยุติธรรมให้ชี้แนะมาด้วย ส่วนนี้ต้องเสร็จพร้อมส่วนแรก ส่วนที่สองจะละเอียดและยาว ถ้าต้องลงในรายละเอียดลึกต้องขอนายกฯขยายเวลาเกิน 1 เดือนต้องทำให้เสร็จ หากไม่เสร็จก็บอกมา เพราะแต่ละคนมีงานราชการ แต่เราหวังว่าถ้าทำไประยะหนึ่งเขาจะบอกเราว่า ต้องทำอะไรต่อ เขาอาจสมัครใจทำต่อก็ได้
อยู่ที่พบพยานหลักฐานใหม่หรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า คณะกรรมการชุดนี้เรียกใครมาชี้แจงได้ทั้งหมดใช่หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ได้ แต่อัยการคำสั่งนายกฯไม่ได้เขียนให้เรียกมาไม่สามารถทำตรงได้เพราะนายกฯไม่ได้ดูแล ไม่มีอำนาจ ต้องใช้วิธีประสานงานขอเชิญมา เชื่อว่าจะมาเหมือนที่คณะ กมธ.ของสภาฯเรียก เขาก็ไป ส่วนตำรวจเรียกได้เพราะนายกฯเป็นคนดูแล ถามว่า ต้องไปดูกระบวนการตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวนเลยหรือไม่ นายวิษณุตอบว่า แล้วแต่คณะกรรมการกำหนด ส่วนเวลาผ่านมา 8ปีหลักฐานบางอย่างอาจไม่อยู่แล้ว ไม่อยู่ก็ไม่อยู่ แต่ถ้าอยู่ก็เอามาดูกันได้ ต้องไว้ใจ เชื่อว่า คณะกรรมการจะหยิบเอาสำนวนเก่ามาว่า ทำไมจึงไม่ฟ้อง ทำไมขาดอายุความ เท่าที่ทราบเขาประชุมกันทุกวัน ถามว่า หากมีข้อสรุปแล้วเปลี่ยนแปลงผลของอัยการได้หรือไม่ นายวิษณุตอบว่า ให้เขามาบอก รัฐบาลจะไม่ไปพูดอย่างนั้น เวลานี้ต้องพูดตามกฎหมายก่อนว่าเมื่อคำสั่งได้สั่งอย่างนี้ ถือว่าเป็นคำสั่งเด็ดขาด กฎหมายใช้คำว่าหลักฐานแปลว่าติดใจ และยกคดีขึ้นเพื่อสอบใหม่ ดำเนินการใหม่ หากว่ามีพยาน หลักฐานใหม่รัฐบาลไม่รู้ เป็นเรื่องของคณะกรรมการชุดที่จะตรวจสอบว่า มีหลักฐานใหม่หรือไม่ เมื่อถามว่า มีพยานเสียชีวิตไปแล้วหนึ่งคน ทำให้พยานหลักฐานอ่อนลงหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่รู้จริงๆ ไม่ทราบว่าเขาไปพูดอะไรเอาไว้ คนรู้อาจจะมี แต่ตนไม่รู้
...
“สิระ” เชิญทันตแพทย์ใช้โคเคนแจง
ที่รัฐสภา นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ฐานะประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทน ราษฎร กล่าวว่า กรณีคณะ กมธ.ตำรวจ สภาฯ ให้ตำรวจชี้แจงประเด็นเมาแล้วขับ ความเร็ว และกรณีพบสารเสพติดในร่างกายคดีนายวรยุทธ โดยจากเอกสารผลตรวจร่างกายพบสารโคเคนเอทิลีน เจ้าหน้าที่ตำรวจยอมรับว่า พบส่วนผสมสารเสพติดโคเคนในเลือดนายวรยุทธตั้งแต่ต้น แต่ได้รับการยืนยันจากทันตแพทย์ว่า สารที่ตรวจพบเป็นยาใช้รักษาฟัน ทำให้ไม่ตั้งข้อหายาเสพติด แต่อุปนายกทันตแพทยสภา รวมถึงนักวิชาการภาควิชาเคมี ม.เกษตรศาสตร์ยืนยันตรงกันว่า ยาชาที่หมอฟันใช้ปัจจุบันที่ขึ้นบัญชียาหลักแห่งชาติคือ ลิโดเคน แม้ลงท้ายด้วยเคนเหมือนกัน แต่เป็นคนละตระกูลกับโคเคน ปัจจุบันไม่มีหมอฟันคนใดในโลกใช้อีก วันนี้เรากำลังเจอแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ทันตแพทย์คนดังกล่าวที่ให้ข้อมูลกับตำรวจต้องถูกเชิญมาให้ข้อมูลกับ กมธ. ร่วมกับอุปนายกทันตแพทยสภา หากพบว่าข้อมูลของทันตแพทย์คนนี้เป็นข้อมูลไม่ตรงกับหลักวิชาชีพ ทันตแพทย์ต้องรับผิดทางกฎหมายในการกระทำผิดที่ต้องการช่วยเหลือผู้ต้องหา กมธ.จะส่งหนังสือเชิญแพทย์เกี่ยวข้องกับคดีนี้ทุกท่านมาให้ข้อมูลแท้จริง เชื่อว่าแพทย์ทุกท่านคงยึดหลักวิชาการสากล คงไม่มีใครมีตำราส่วนตัวมาใช้ประกอบวิชาชีพได้
...
“ธานี ” เเจง 6 ข้อ สนช.ไม่ได้ฟอกคดี
ที่รัฐสภา นายธานี อ่อนละเอียด ส.ว.และอดีตเลขานุการคณะ กมธ.การกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สนช.แถลงชี้เเจงเพิ่มเติมกรณีนายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา 6 ประเด็น 1.นายวรยุทธมีหนังสือฉบับลงวันที่ 4 พ.ค.2559 ร้องขอความเป็นธรรมต่อคณะ กมธ.การกฎหมายฯ กมธ.สอบหาและศึกษาข้อเท็จจริง โดยเชิญประจักษ์พยานที่ให้การไว้แต่เดิมกับพนักงานสอบสวนมาประชุมชี้แจง กมธ.มิได้สอบประจักษ์พยานใหม่เพิ่มเติมจากที่ให้การไว้เดิม 2.วันที่ 16 ธ.ค.2559 กมธ.มีมติรวบรวมผลการสอบและศึกษาฯส่งให้พนักงานอัยการ 3.พนักงานอัยการมีหนังสือฉบับลงวันที่ 14 ก.พ. 2561 แจ้งผลการพิจารณาเกี่ยวกับการร้องขอความเป็นธรรมของนายวรยุทธต่อกมธ.ว่า อัยการสูงสุดพิจารณารายงานของ กมธ.แล้ว มีคำสั่งให้ยุติเรื่องร้องขอความเป็นธรรม อ้างว่าแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ร้องขอความเป็นธรรมทราบแล้ว
ไม่มีอิทธิพลเปลี่ยนคำสั่งอัยการ
นายธานีกล่าวต่อว่า 4.เมื่อรับแจ้งผลการพิจารณาของอัยการสูงสุดให้ยุติเรื่องร้องขอความเป็นธรรมดังกล่าว กมธ.มิได้ดำเนินการใดๆต่ออีก และนายวรยุทธก็มิได้ติดต่อให้ กมธ.ดำเนินการอีก ผู้ร้องจะดำเนินการหรือร้องให้สอบพยานเพิ่มเติม ใดๆอีก กมธ.มิได้รู้เห็นหรือเข้าไปเกี่ยวข้อง 5.การที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งให้ยุติเรื่องร้องขอความเป็นธรรม แสดงให้เห็นว่า กมธ.มิได้มีอิทธิพลส่งผลให้อัยการสูงสุดเปลี่ยนแปลงคำสั่ง สนช. ส.ส. และ ส.ว. มิได้ มีอำนาจไปบงการหรือสั่งการฝ่ายบริหารหรือองค์กรต่างๆได้ 6.บัดนี้มีการตั้งคณะกรรมการของ ตช. สำนักอัยการสูงสุด และคณะกรรมการตามคำสั่งของนายกฯมาพิจารณาแล้ว ขอให้สื่อมวลชนรอผลต่อไป “เรียนชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมให้ครบถ้วน ในคราวแถลงข่าวครั้งที่แล้ว หากผมล่วงเกินสื่อมวลชนประการใดไป ผมต้องขอโทษและขออภัยไว้ ณ ที่นี่ด้วย”
...
ชิ่งคำถามความสัมพันธ์ทนายบอส
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนั้นนายธานี ยกมือไหว้พร้อมกล่าวขอโทษสื่อมวลชวนด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล แล้วเดินลงจากโพเดียมเเถลงข่าวทันที ไม่ยอมตอบคำถามที่สื่อหลายสำนักพยายามถามเพิ่มหลายกรณี อาทิ เรื่องความสัมพันธ์ของทนายประจำตระกูลอยู่วิทยา และ ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม หัวหน้าศูนย์วิจัยวิศวกรรมการประเมินและความปลอดภัยยานยนต์ รวมถึงข้อมูลและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสารเสพติดโคเคนที่อยู่ในร่างกายของนายวรยุทธหรือไม่เป็นต้น นายธานีระบุสั้นๆว่า ขอให้รอฟังผลการพิจารณาของคณะกรรมการทั้ง 3 ชุดน่าจะได้ข้อเท็จจริงที่สุด
“ศิษฐวัชร” เเจงเพิ่มอ้างสื่อลงไม่ครบ
พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ ส.ว.และอดีตประธานคณะ กมธ.การกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า จากการแถลงข่าวของนายธานี อ่อนละเอียด สมาชิก ส.ว.และอดีตเลขานุการกมธ.การกฎหมายฯ ชี้แจงขั้นตอนการทำงานของคณะกมธ.เกี่ยวกับการร้องขอความเป็นธรรมของนายวรยุทธ อยู่วิทยา มีสื่อยังลงข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วน อาจผิดพลาดในข้อเท็จจริง ขอชี้แจงเพิ่มเติมว่า ผู้ร้องได้ร้องขอความเป็นธรรมไปยังอัยการสูงสุด ด้วยเหตุว่าอัยการไม่รับฟังข้อเท็จจริง อัยการสูงสุดมีคำสั่งยุติการร้องขอความเป็นธรรมวันที่ 4 พ.ค.59 ผู้ร้องมีหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อคณะ กมธ.การกฎหมายฯ สนช. ส่วนวันที่ 16 ธ.ค.59 ที่ประชุมคณะ กมธ.มีมติให้ส่งรายงานการพิจารณาศึกษาไปยังอัยการสูงสุด และอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ กระทั่งวันที่ 22 ธ.ค.59 กมธ.ส่งรายงานดังกล่าวไปยังอัยการสูงสุด จากนั้นไม่ทราบการดำเนินการของอัยการ จนวันที่ 15 ก.พ.61 อธิบดีอัยการฯมีหนังสือแจ้งมายัง กมธ.ว่า อัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้ยุติเรื่องขอความเป็นธรรม
“รสนา” ขอบันทึกประชุม กมธ.กม.
น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กทม. พร้อมด้วย น.ส.บุญยืน ศิริธรรม อดีต ส.ว.สมุทรสงคราม เข้ายื่นหนังสือต่อนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ขอเอกสารรายงานบันทึกการประชุม ผลการศึกษา และหนังสือนำส่งอัยการของคณะกรรมาธิการกฎหมายกระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สนช. กรณีข้อร้องขอความเป็นธรรมคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา ขับรถชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี 2555 มีนายแพทย์สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้รับหนังสือ น.ส.รสนากล่าวว่า มายื่นหนังสือเพื่อขอข้อมูล กมธ.กฎหมายฯ สนช. เนื่องจากสับสนการให้ข่าวของ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร อดีตกมธ.กฎหมาย สนช.ที่ระบุว่า กมธ.ไม่ได้รับเรื่องร้องขอความเป็นธรรมจากนายวรยุทธ แต่นายธานีอ่อนละเอียด กลับบอกว่า รับเรื่องร้องขอความเป็นธรรม ตรวจสอบโดยเชิญผู้เชี่ยวชาญมาทดสอบความเร็วรถ ส่งผลให้รูปคดีเปลี่ยนจากมีผู้ต้องหา 1 คนเป็น 2 คนทำให้ ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ที่ถูกนายวรยุทธขับรถชนเสียชีวิตกลายเป็นผู้ต้องหาที่ 2 ถูกตั้งข้อหาว่าขับรถโดยประมาทด้วยการเปลี่ยนเลนจนทำให้เสียชีวิต การพลิกคดีเช่นนี้เป็นเหตุให้อัยการสั่งไม่ฟ้อง ดังนั้นรายงาน กมธ.ชุดนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งทำให้คดีเปลี่ยนแปลง
หวั่นมีผลประโยชน์–สินบนเอี่ยว
น.ส.รสนากล่าวอีกว่า จากการให้ข้อมูลของอดีต กมธ. 2 คน ที่มีเนื้อหาตรงข้ามกัน จึงเชื่อว่าประชาชนต้องการทราบความจริงในเรื่องนี้ ว่า กมธ.ได้รับเรื่องร้องขอความเป็นธรรมมาพิจารณาอย่างไร ผลการพิจารณาที่ส่งต่อไปให้อัยการเป็นเช่นไร ใครเป็นผู้ลงนาม ในกระบวนการสอบสวนของตำรวจและอัยการถือว่าอยู่ในหลักของฝ่ายบริหารนั่นคือรัฐบาล เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะการพลิกคดีทำให้สังคมเกิดความสงสัยว่ามีเรื่องผลประโยชน์หรือสินบนเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ ขณะที่ดัชนีการคอร์รัปชันของประเทศไทยตกต่ำมาตลอด หากเราไม่สามารถทำความจริงให้ปรากฏจะเกิดปัญหาความน่าเชื่อถือของประเทศไทยต่อสายตานานาชาติ และส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เคยได้มีการสะท้อนว่าประเทศไทยมีปัญหาเรื่องการรับสินบนอีกด้วย เรื่องนี้ไม่ใช่ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ แต่เป็น ทอล์ก ออฟ เดอะ เวิลด์ เรื่องนี้ยังลุกลามไปหลายวงการ โดยสภาฯ ในฐานะที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ และมีการตรวจสอบเรื่องนี้จนอาจนำไปสู่ผลการพลิกคดี สังคมจึงตั้งคำถามว่าการที่อัยการสั่งไม่ฟ้องเพราะผลจากการพิจารณาของสนช.ใช่หรือไม่ การเปิดเผยผลการตรวจสอบจะทำให้เกิดความชัดเจนว่ามีใครเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้บ้าง
“สามารถ” ชี้คิดความเร็วต่ำเกินจริง
นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ “เฟอร์รารี่คันนั้นวิ่งแค่ 76 กม. ต่อ ชม. จริงหรือ?” สรุปว่าผู้คำนวณความเร็วรถเฟอร์รารีมี 2 คนคือ ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ และ รศ.ดร.สายประสิทธิ์เกิดนิยม อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมการประเมินและความปลอดภัยยานยนต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือใช้สูตรเดียวกัน แต่ระยะทางและระยะเวลาที่ใช้คำนวณไม่เท่ากัน ดร.สธน คำนวณความเร็วได้ 177 กม.ต่อ ชม. ขณะที่ รศ.ดร.สายประสิทธิ์คำนวณได้ 76 กม.ต่อชม.ต่างกันมาก เหตุที่ รศ.ดร.สายประสิทธิ์ คำนวณความเร็วของรถได้ต่ำกว่า ดร.สธนมาก อาจเกิดจากการนับจำนวนเฟรมตามความยาวเส้นทแยงได้ค่ามากเกินไป ใช้ค่าความเร็วบันทึกภาพของกล้องวงจรปิด (FPS) ต่ำกว่าความเป็นจริง ทำให้ระยะเวลาที่คำนวณได้สูงกว่าความเป็นจริง ส่งผลให้ความเร็วรถที่คำนวณตามสูตร (ความเร็ว=ระยะทาง/ระยะเวลา) “ต่ำลง” ไม่ตรงกับความเป็นจริง จากความเสียหายอย่างยับเยินของรถเฟอร์รารี่ท่านคิดว่า ความเร็วในขณะเกิดอุบัติเหตุควรจะเท่ากับ 76 กม. ต่อ ชม. หรือมากกว่าครับ?
คณะทำงานอัยการประชุมคดี “บอส”
ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการฯ นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ฐานะผู้ช่วยเลขานุการคณะทำงานตรวจสอบการสั่งไม่ฟ้องคดีนายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าจากการประชุมคณะทำงานฯเมื่อวันที่ 30 ก.ค.ว่า วันนี้จะพิจารณากันต่อตามที่วางกรอบไว้ คาดว่าภายใน 7 วันน่าจะแล้วเสร็จ ถ้าแถลงวันไหนนัดหมายสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ส่วนแนวทางการพิจารณายังเปิดเผยไม่ได้ไม่ว่ากรณีใดๆ การทำงานในรูปคณะทำงานสิ่งที่จะเรียนต้องเป็นมติคณะทำงานที่แล้วเสร็จในแต่ละประเด็น จะว่าไปในคราวเดียวกัน ตนเป็นหนึ่งในคณะทำงานไม่สามารถให้ความเห็นใดๆได้
ยังให้ความเห็นเรื่องโคเคนไม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีพยานเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ มีผลต่อการพิจารณาคดีหรือไม่ นายประยุทธ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนและคณะทำงานทราบจากสื่อ กรอบภารกิจการทำงานที่อัยการสูงสุดมอบหมายคือ ดูว่าการสั่งคดีนี้เป็นไปตามข้อกฎหมายหรือไม่ เป็นไปตามระเบียบหรือไม่ มีเหตุผลการสั่งสำนวนสอดคล้องข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน ข้อกฎหมายหรือไม่เท่านั้น ส่วนพยานเสียชีวิตเป็นคนละประเด็น เมื่อถามถึงการพิจารณาประเด็นสารโคเคนในตัวนายวรยุทธ ผู้ต้องหา นายประยุทธกล่าวว่า เราดูทุกประเด็น แต่ยังไม่สามารถให้ความเห็นได้ ต้องรอมติคณะทำงาน
“ศตวรรษ” แถลงผลสอบ 3 กรอบ
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.ศตวรรษ หิรัญบูรณะ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. พล.ต.ท.สมชาย พัชรอินโต ผบช.กมค. และ พล.ต.ท.กฤษณะ ทรัพย์เดช จตร.แถลงผลดำเนินการของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีอัยการสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา หลังประชุมคณะกรรมการ พล.ต.ท.ศตวรรษกล่าวว่า คณะกรรมการชุดนี้ยังยึดถือกรอบดำเนินการ เข้าไปตรวจสอบกรอบแรกพนักงานสอบสวนดำเนินการ กระทั่งเสนอความเห็นสั่งฟ้อง ข้อหาขับรถโดยประมาท กรอบที่2พิจารณาเรื่องพนักงานสอบสวนสอบเพิ่มเติมตามคำสั่งพนักงานอัยการ และกรอบสุดท้ายกรณีความเห็นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ ผู้ช่วย ผบ.ตร.มีความเห็นไม่แย้งคำสั่งของอัยการ ในส่วนที่คณะกรรมการชุดนี้ดำเนินการลงลึกในรายละเอียด และยังมีบางส่วนกำลังดำเนินการ บางเรื่องสามารถแถลงชี้แจงให้สังคมรับทราบ จะได้เข้าใจแนวทางดำเนินการของพนักงานสอบสวนเป็นอย่างไร
แจงผลตรวจพบสารโคเคนอีน
“ยืนยันว่าคณะกรรมการชุดนี้พิจารณาในส่วนตำรวจเท่านั้น ว่าดำเนินการถูกต้องตามระเบียบปฏิบัติหรือไม่ กรณีแรกขอชี้แจงคือ กรณีพบสารเกี่ยวกับโคเคนในเลือดนายวรยุทธ ขอเรียนว่า กรณีนี้ตรวจเมื่อวันที่ 3 ก.ย.2555 ผลออกมาเมื่อวันที่ 11 ต.ค.2555 แพทย์ผู้ตรวจยืนยันว่า สารที่ตรวจพบเกิดจากกระบวนการสลายตัวของสารที่เกี่ยวกับโคเคนอีนกับแอลกอฮอล์ ไม่พบโคเคนโดยตรง ขอบอกว่า ภาษาทางการแพทย์ผมอาจไม่มีความชำนาญ ตามรายงานภาคนิติวิทยา รพ.รามาธิบดีพบว่า สารที่ตรวจพบทั้งหมด 4 ชนิดคือ 1.Alprazolam 2.Benzoylecgonine 3.Cocaethylene 4.Caffeine สารตัวแรกน่าจะเป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภทที่ 4 ตาม พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ทางการแพทย์เรียกว่ายานอนหลับ ส่วนตัวที่ 4 Caffeine คือ สารที่อยู่ในกาแฟ ดังนั้นสารที่เป็นปัญหาคือ สารตัวที่ 2 และ 3 เป็นผลของการย่อยสลาย ทางการแพทย์บอกว่า มาจากโคเคน แต่ไม่ใช่โคเคนโดยตรง สารตัวที่ 2 ทางการแพทย์ยืนยันว่า วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท แต่เป็นสารที่เกิดขึ้นในร่างกายเมื่อเสพโคเคนอีน จัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติด 2522 ส่วนสารตัวที่3ไม่จัดเป็นยาเสพติดให้โทษหรือวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท แต่เป็นเมตาบอร์ไลที่เกิดขึ้นในร่างกายเมื่อเสพโคเคนอีนร่วมกับแอลกอฮอล์” พล.ต.อ.ศตวรรษกล่าว
ไม่ยืนยันมาจากการเสพหรือไม่
พล.ต.อ.ศตวรรษ กล่าวต่อว่า ดังนั้นประเด็นคือ สารตัวที่ 2 และ 3 ถ้าตรวจพบแสดงว่า มีการเสพโคเคนอีน แต่จากการให้การของนายวรยุทธบอกว่า ไปหาหมอฟัน และหมอให้ยาแอมม็อกซิลีน 500 มิลลิกรัม และแพทย์ให้การยืนยันในคำให้การชัดเจนไม่มียาเสพติด ดังนั้นตามที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์ยืนยันว่า ยาที่แพทย์ให้นายวรยุทธไม่มีสารเสพติด ส่วนสารตัวที่ 2 และ 3 อาจได้จากยาปฏิชีวนะอื่นหรือไม่ หรือมาจากการเสพโคเคนอย่างเดียว กรณีนี้คณะกรรมการชุดนี้จะดำเนินการเพื่อให้ทราบว่า กรณีดังกล่าวเท็จจริงอย่างไร แต่เนื่องจากคณะกรรมการไม่มีความชำนาญเรื่องนี้ ขอเวลาสอบถามจากผู้รู้ เพื่อเป็นข้อมูลประมวลของคณะกรรมการ หากพบว่ามีหลักฐานชัดเจนว่า สารดังกล่าวเป็นยาเสพติดจริง เป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนต้องดำเนินการ คดียาเสพติดประเภท 2 มีอายุความ 10 ปี
“จารุชาติ” ให้การความเร็วรถกับอัยการ
พล.ต.อ.ศตวรรษ กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีนายจารุชาติ มาดทอง ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ขอยืนยันว่า กรณีไม่มีผลต่อการดำเนินการของคณะกรรมการชุดนี้แน่นอน แต่จะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไรเป็นหน้าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริง แต่ที่เป็นประเด็นของเราคือ พยานที่ชื่อนายจารุชาติ มาอย่างไร จากการตรวจสอบพบว่า นายจารุชาติเข้าให้ปากคำพนักงานสอบสวนตั้งแต่วันที่ 8 ก.ย.2555 ดังนั้นไม่ใช่พยานใหม่ เป็นพยานที่อยู่ในสำนวนการสอบสวนตั้งแต่ต้น เป็นพยานที่เข้าพบพนักงานสอบสวนหลังทราบข่าว จึงมาให้การว่า เห็นเหตุการณ์อย่างไร ส่วนกรณี พล.อ.ท.จักรกฤช ถนอมกุลบุตร สอบปากคำครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 ก.ค.2558 หลังพนักงานสอบสวนเสนอสั่งฟ้องนายวรยุทธข้อหาขับรถโดยประมาทและออกหมายจับไปแล้ว การเข้าให้การของนายจารุชาติไม่ได้พูดถึงกรณีความเร็วรถ และพยานทั้ง 2 คนอยู่ในรถยนต์คนละคัน ส่วนทั้ง 2 คนจะรู้จักกันหรือไม่ยังไม่ทราบ กรณีนายจารุชาติให้การเรื่องความเร็วรถยนต์อยู่ที่ 70 กม.ต่อ ชม.เป็นการให้ปากคำช่วงปลายปี 2562 เป็นการให้สอบปากคำเพิ่มเติมของพนักงานอัยการ ให้ปากคำครั้งแรกไม่ได้บอกเรื่องความเร็วรถ แต่ให้ปากคำครั้งที่ 2
ตำรวจไม่ฟ้องขับรถเร็วเพราะพยาน
พล.ต.อ.ศตวรรษ กล่าวด้วยว่า ในชั้นนั้นพนักงานสอบสวนใช้ดุลพินิจสั่งฟ้องผู้ต้องหาข้อหาขับรถโดยประมาท และออกหมายจับไปแล้ว ก่อนมีคำสั่งจากอัยการให้สอบปากคำพยานเพิ่มเติม พนักงานสอบสวนคำนึงถึงความระมัดระวังของการขับรถ ต้องเว้นระยะ ทิศทางของรถ แต่พนักงานสอบสวนชุดแรกสั่งไม่ฟ้องเรื่องขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด เนื่องจากในชั้นแรกมีพยานบางปากบอกว่า รถใช้ความเร็วไม่น่าเกิน 80 กม.ต่อ ชม. เป็นเหตุไม่ฟ้องเรื่องความเร็ว แต่สั่งฟ้องเรื่องขับรถโดยประมาท เพราะการขับโดยไม่ระมัดระวังเป็นเหตุของความประมาท เป็นดุลพินิจของพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนยึดเรื่องความระมัดระวังการขับรถจึงสั่งฟ้องในเบื้องต้น ส่วนกรณีการขับรถเปลี่ยนช่องทางของ ด.ต.วิเชียร ยืนยันว่าขี่รถ จยย.เปลี่ยนช่องทางจากซ้ายไปขวาแน่นอน มีคำให้การอย่างชัดเจน สำหรับกรอบระยะเวลา 15 วัน ที่ ผบ.ตร.ให้มา คณะกรรมการพยานเร่งดำเนินการทุกวัน
แพทย์ให้ “แอมม็อกซี่” ไม่มีโคเคน
พล.ต.ท.สมชาย พัชรอินโต กล่าวว่า ชั้นแรกพนักงานสอบสวนใช้พยานหลักฐานจากกองพิสูจน์หลักฐาน แจ้งมาเป็นรายงานชันเจนเบื้องต้นว่า รถคันก่อเหตุใช้ความเร็วประมาณ 177 กม. ต่อ ชม.ใช้พยานหลักฐานตัวนั้นแจ้งข้อกล่าวหาขับรถเร็ว ต่อมาชั้นสอบสวนยังสอบตำรวจสังกัด บก.จร.เกี่ยวกับลักษณะสภาพรถอีก 2 ปาก เพื่อประเมินความเร็วเป็นจริงตามที่ได้รับรายงานหรือไม่ พนักงานสอบสวนสั่งไม่ฟ้องเรื่องความเร็ว แต่พนักงานอัยการสั่งฟ้องเรื่องความเร็ว ดังนั้นกรณีที่ไม่สอบปากคำนายจารุชาติในชั้นนั้น เพราะพนักงานสอบสวนเชื่อในผล พฐ. กรณีข้อหาขับรถโดยประมาทมีปัจจัยหลายอย่าง เช่น เร็วก็ประมาท ดื่มสุราก็ประมาท หรือไม่เร็วไม่ดื่มสุราแต่ปราศจากความระมัดระวังก็ประมาทได้ กรณีนายวรยุทธไปรักษากับแพทย์เรื่องฟัน แพทย์ให้การยืนยันชัดเจนว่า ยาที่ให้ไม่มีสารเสพติดเป็นยาแอมม็อกซี่ 500 มิลลิกรัม แต่เป็นยาปฏิชีวนะ แพทย์มีความเห็นว่า ผลของยาอาจก่อให้เกิดผลลวงในการตรวจเลือดได้ กรณีถามว่าพนักงานอัยการมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำพยานเพิ่มเติมกี่ปาก เท่าที่ทราบสั่งให้สอบปากคำพยานเพิ่มเติมต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนตรวจสอบกับพนักงานสอบสวนในคดี
ทันตแพทยสภาแจงปมโคเคน
ที่อาคารสภาวิชาชีพ พ.ต.ท.ทพ.พจนารถ พุ่มประกอบศรี นายกทันตแพทยสภา กล่าวถึงกรณีการตรวจพบสารโคเคนในเลือดของนายวรยุทธ อยู่วิทยา ตำรวจให้ข้อมูลว่า สารโคเคนที่ตรวจพบเกิดจากการรักษาฟัน เป็นเหตุให้ไม่สั่งฟ้องคดียาเสพติดว่า โคเคนเป็นสารเสพติดที่มาจากพืชโคคา ในอดีตอาจเคยใช้ในวงการทันตกรรมเพื่อให้เกิดอาการชา แต่ปัจจุบันไม่มีทันตแพทย์ใช้สารโคเคนทำฟันแล้ว เพราะมีผลข้างเคียงกับสุขภาพ ทำให้ความดันโลหิตสูง มีผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ จึงพัฒนายาชาประเภทอื่นๆขึ้นมาเป็นลักษณะสารสังเคราะห์คือ ลิโดเคน เมพิวาเคน อะทิเคน เป็นต้น ส่วนใหญ่ลงท้ายด้วยคำว่า “เคน” ยาชาตัวที่เป็นสารสังเคราะห์จะทำให้เกิดอาการชาดีกว่า ผลข้างเคียงน้อย ทำให้ทันตแพทย์เลือกใช้สารนี้ จนโคเคนไม่ถูกนำมาใช้ และหายไปจากวงการทันตกรรม
ใช้สารสังเคราะห์แทนนานแล้ว
เมื่อถามถึงฤทธิ์ของโคเคนจะอยู่ในร่างกาย หากใช้เพื่อรักษาฟันจริงนานแค่ไหน นายกทันตแพทยสภา กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่สามารถระบุได้ เพราะใช้ในปริมาณน้อยมากและใช้เฉพาะจุด ส่วนตัวยาชาที่เป็นสารสังเคราะห์เลียนแบบมีใช้ 2 รูปแบบคือ การป้ายเยื่อบุบริเวณที่ต้องการให้เกิดการชา และฉีดเฉพาะจุด ออกฤทธิ์ไม่นานประมาณ 1-2 ชม. เท่านั้น ส่วนสารตกค้างในร่างกาย ก็เหมือนกับสารสังเคราะห์ชนิดอื่นที่ตกค้างได้บ้าง แต่ไม่ได้อยู่นานตลอดวัน เช่น น้ำยาบ้วนปากที่ผสมแอลกอฮอล์ หากใช้บ้วนปากแล้วเป่าเครื่องวัดแอลกอฮอล์ก็พบแอลกอฮอล์ตกค้างได้
ถ้ามีผู้ร้องพร้อมตรวจสอบ
ต่อข้อถามว่า ทันตแพทยสภาต้องตรวจสอบดำเนินการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ พ.ต.ท.ทพ.พจนารถ กล่าวว่า ขณะนี้ตำรวจยังไม่เปิดเผยว่า ทันตแพทย์รายใดเป็นผู้รักษาขณะนั้น เป็นเรื่องที่ตรวจสอบยาก และปกติทันตแพทย์จะไม่เปิดเผยข้อมูลผู้ป่วย เนื่องจากเป็นเรื่องของจรรยาบรรณวิชาชีพ ยกเว้นเป็นคดีความเจ้าหน้าที่ตำรวจมีสิทธิ์เรียกข้อมูลมาประกอบการพิจารณาดำเนินคดีตามกฎหมาย ทันตแพทยสภาพร้อมให้ข้อมูลและอยากขอข้อมูลจากตำรวจเพื่อช่วยตรวจสอบทันตแพทย์ที่ให้การรักษานายบอสด้วยเช่นกัน หรือมีผู้ร้องเรียนเข้ามาก็พร้อมตรวจสอบ ปัจจุบัน พ.ร.บ.ยาเสพติดอนุญาตให้ใช้สารเสพติดบางชนิดทางการแพทย์ได้ เช่น มอร์ฟีน โคเคน แต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์และ กฎหมาย เพราะมีกลุ่มคนบางกลุ่มลักลอบใช้เป็นยาเสพติด ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพและสังคม
เลิกใช้โคเคนมาเป็น 100 ปีแล้ว
ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ทพญ.ปิยะดา ประเสริฐสม ผอ.สำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากประวัติศาสตร์มีการใช้โคเคนทางทันตกรรม มีในอดีตมากกว่า 100 ปี แต่นับตั้งแต่พัฒนายาชาตัวอื่นขึ้นมาก็ไม่มีการใช้อีกเลย ส่วนตัวหมอเองไม่เคยใช้โคเคนในทางทันตกรรมเลย เรื่องนี้ทันตแพทย์ต่างตื่นตัวออกมาให้ข้อมูลสอดคล้องในทางเดียวกันว่า ประเทศไทยไม่มีการใช้โคเคนในทางทันตกรรมมามากกว่า 100 ปีแล้ว
ทันตแพทย์ “บอส” ยันไม่ใช้โคเคน
ทพ.เผด็จ ตั้งงามสกุล อุปนายกทันตแพทยสภาคนที่ 1 กล่าวว่า ทันตแพทย์คนที่รักษานายวรยุทธ อยู่วิทยา ติดต่อมาเป็นการส่วนตัวกับกรรมการทันตแพทยสภาท่านหนึ่งยืนยันว่า ไม่ได้ใช้โคเคนในการรักษาฟัน เพราะคลินิกทันตกรรมหรือวงการทันตกรรมไม่ใช้สารโคเคนอยู่แล้ว เพราะเป็นยาเสพติด ใช้เพียงยาชาที่อนุญาตทางทันตกรรมเท่านั้น ผู้สื่อข่าวถามว่า จะเชิญทันตแพทย์คนดังกล่าวมาที่ทันตแพทยสภาหรือไม่ ทพ.เผด็จกล่าวว่า ต้องรอให้ทันตแพทย์คนดังกล่าวพร้อมและเตรียมข้อมูลการรักษาก่อนเนื่องจากเรื่องนี้ผ่านมากว่า 7 ปีแล้ว แต่ที่ทันตแพทย์จำได้ยืนยันชัดเจนคือ เขาไม่ได้ใช้โคเคน และเขาสงสัยว่าเพราะเหตุใดจึงมีข่าวว่าเจ้าหน้าที่สอบสวนระบุว่า มีการใช้สารโคเคน ทันตแพทยสภาขอรอเวลาสักระยะ เพื่อติดต่อและประสานให้ข้อมูล เนื่องจากปัจจุบันยังมีคณะกรรมการอีกชุดที่นายกรัฐมนตรีตั้ง คงมีหลายฝ่ายอยู่ในการดำเนินการ แต่ขอยืนยันว่า ไม่มีการใช้โคเคนในวงการทันตกรรมแน่นอน
อย.แจงใช้โคเคนปีละไม่ถึง กก.
ภญ.สุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวถึงกระแสการนำสารโคเคนมาใช้ในทางทันตกรรมหรือไม่ว่าปัจจุบันมีการใช้สารเสพติดทางการแพทย์แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ ยาเสพติดให้โทษประเภท 2 และ 4 สารออกฤทธิ์ประเภทที่ 2 มีอยู่ 20 ตัว อาทิ มอร์ฟีน โคเคน กลุ่มนี้เป็นยาที่ อย.เป็นผู้จัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว ส่วนมากพบมากว่า ใช้ในห้องผ่าตัดเฉพาะจุดโดยเฉพาะจมูกและคอ ที่ผ่านมา อย.จัดส่งให้สถานพยาบาล ตามการร้องขอ และทำรายละเอียดว่าใช้จำนวนเท่าไหร่ แต่ละปีจะใช้ปริมาณ 1 กก.จากข้อมูลปี 2562 ครึ่ง กก. ปี 2561 ใช้ 0.75กก.และปี 2560 ใช้ 1.2 กก. 10 ปีที่ผ่านมาปริมาณการใช้เฉลี่ย1กก.ต่อปี
เตือนโคเคนอาจทำให้ช็อกได้
“สำหรับฤทธิ์โคเคน จะออกฤทธิ์ต่อประสาทส่วนกลาง ทำให้เคลิ้ม มีผลต่อการเต้นของหัวใจ หัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะและช็อกได้ หากใช้เยอะไปนานๆจะทำให้เกิดเป็นโรคซึมเศร้า” ภญ.สุภัทรา กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม หากครอบครองโดยไม่มีใบอนุญาตจะเข้าข่ายมาตรา 69 ของ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ระบุว่า ผู้ใดมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 2 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนผู้ใดจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ยาเสพติดให้โทษประเภท 2 ต้องระวางโทษจำคุก 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาทถึง 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้การ พฐ.ลุยคลี่คดีพยานปากเอก
ส่วนความคืบหน้าการคลี่คลายคดีการเสียชีวิตของนายจารุชาติ มาดทอง พยานปากสำคัญในคดี “บอส” จากการขี่รถ จยย.ชนเสียชีวิตบนถนนในตัวเมืองเชียงใหม่ พล.ต.ต.ดิเรก ธนานนท์นิวาส ผบก.ศพฐ.5 พร้อมตำรวจพิสูจน์หลักฐานเดินทางไปที่ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ ประชุมร่วมกับ พ.ต.อ.รณชัย รอดลอย ผกก.สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ และพนักงานสอบสวน เพื่อวางแนวทางการคลี่คลายคดี พร้อมตรวจสอบรถ จยย.ทั้ง 2 คันที่เฉี่ยวชนกันจนทำให้นายจารุชาติเสียชีวิต
แกะรอยเส้นทางขี่ จยย.ก่อนดับ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่ประชุมมีการตรวจสอบกล้องวงจรปิด พร้อมจำลองเหตุการณ์ ก่อนเกิดเหตุพบกล้องวงจรปิดบันทึกภาพผู้ตายขี่รถ จยย.มาจากถนนคันคลองชลประทาน แล้วเลี้ยวขวาที่ประตูเกษตร มช. จากนั้นเลี้ยวซ้ายที่แยกเชียงรายมุ่งหน้าสู่ถนนนิมมานเหมินทร์ ขี่ติดตามกันมากับนายสมชาย ตาวิโน คู่กรณี กระทั่งจอดติดไฟแดงด้วยกันที่สี่แยกรินคำ ก่อนเลี้ยวตามสัญญาณไฟเขียวมาตามถนนห้วยแก้วขาเข้าเมืองเชียงใหม่ ถึงที่เกิดเหตุรถ จยย.ผู้ตายขี่พุ่งชนท้ายรถ จยย.ของนายสมชายอย่างจัง ก่อนแฉลบไปชนเกาะกลางถนนอย่างแรง รถล้มศีรษะฟาดพื้นถนนอย่างแรงจนเสียชีวิต ระหว่างประชุมเจ้าหน้าที่เชิญตัวนายสมชายคู่กรณี หลังส่งตรวจร่างกายที่ รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ มาสอบปากคำ นายสมชายเผยว่า ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้ว แต่ยังรู้สึกว่าเจ็บหน้าอกอยู่ พร้อมย้ำไม่รู้จักกับผู้ตายมาก่อน หลังสอบสวนตำรวจแจ้งข้อหาขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
พบรถยนต์สงสัยขับตามรถผู้ตาย
หลังประชุมตำรวจชุดสืบสวน กระจายกำลังตรวจสอบกล้องวงจรปิดรอบที่เกิดเหตุรัศมี 3 กม. เพื่อตรวจสอบว่า ผู้ตายขี่รถ จยย.มาทางไหน ก่อนมาโผล่ที่ถนนคันคลองชลประทาน ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่พบรถยนต์ต้องสงสัย ไม่ทราบสีและยี่ห้อ แต่มีโคมไฟหน้า 2 ดวงขับติดตามรถผู้ตายมาด้วย เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างสอบสวนว่า รถคันที่ขับตามผู้ตายมาก่อนประสบอุบัติเหตุ มีส่วนเกี่ยวข้องหรือขับไล่ผู้ตายมาหรือไม่ อยู่ระหว่างสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน
พยานชาวบ้านเผยนาทีระทึกขวัญ
ด้านนายนิรันดร์ (สงวนนามสกุล) อายุ 38 ปี คนขับรถอยู่บริเวณจุดเกิดเหตุ กล่าวว่า ตอนนั้นตนขับรถรับผู้โดยสารจากโรงแรมแห่งหนึ่งย่านดังกล่าว กำลังยูเทิร์นได้ยินเสียงรถครืดดัง ผู้โดยสารยังถามว่า ขับรถชนอะไรหรือเปล่า บอกว่าไม่ได้ชน พอยูเทิร์นแล้วมุ่งหน้าไปทางแยกเมญ่า เห็นรถ จยย.คันหนึ่งพุ่งมาชนเกาะกลางด้วยความแรง ร่างคนขับตกลงไปบริเวณเกาะกลางถนน พอขับมาอีกนิดพบผู้บาดเจ็บอีกรายนอนสลบอยู่ใกล้รถ จยย. ตอนนั้นรีบไปส่งผู้โดยสารจึงไม่ได้จอดลงช่วย แต่เห็นมีคนจอดรถอยู่อีกฝั่งถนน 2-3 คนใช้โทรศัพท์คิดว่าคงโทร.เรียกเจ้าหน้าที่มาช่วยเหลือ ตนจึงขับรถต่อไป จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคิดว่าเป็นอุบัติเหตุ เนื่องจากตอนนั้นเป็นช่วงดึก ฝั่งถนนที่ตนขับมาก่อนจะยูเทิร์นโล่งมาก ส่วนจะมีรถยนต์ไล่ตามหรือไม่ตนไม่ทราบ
สอบเครียดแม่ซักประวัติลูกชาย
ต่อมา พ.ต.อ.รณชัย รอดลอย ผกก.สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ อ.เมืองเชียงใหม่ พร้อมพนักงานสอบสวนและชุดสืบสวนเดินทางไปบ้านเลขที่ 225/15 บ้านวังชมพู ต.ม่วงคำ อ.พาน จ.เชียงราย สถานที่ตั้งงานศพนายจารุชาติ มาดทอง สอบปากคำนางตา วังมูล กับนายสมาน วังมูล แม่และพ่อเลี้ยงผู้ตาย พนักงานสอบสวนซักถามประวัติผู้ตายไปทำงานที่ไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่ กลับมาบ้านบ่อยหรือไหม อยู่ที่บ้านนานแค่ไหน พร้อมสอบถามถึงโทรศัพท์มือถือผู้ตาย แต่นางตาบอกว่า เคยมีนานมาแล้ว ภายหลังเครื่องเสียผู้ตายไม่ได้ซื้อเครื่องใหม่ เวลาโทร.กลับบ้านใช้โทรศัพท์สาธารณะ แต่ไม่ค่อยได้โทร.กลับบ้าน อีกทั้งพนักงานสอบสวนยังสอบถามญาติเพื่อหาเบาะแสเบอร์โทรศัพท์ เพื่อเป็นหลักฐานการเชื่อมโยงว่าผู้ตายได้โทร.หาใครบ้าง อาจเชื่อมโยงกับการตายหรือไม่อย่างไรด้วย
ลือหึ่งทำงานสำนักทนายความ
ขณะเดียวกัน มีสื่อมวลชนบางสำนัก นำเสนอข่าวอ้างนายจารุชาติ ผู้ตายทำงาน อยู่สำนักงาน ทนายความแห่งหนึ่งในย่าน ต.แม่เหียะ อ.เมืองเชียงใหม่ แต่จากการตรวจสอบของผู้สื่อข่าว ยังไม่มีใครยืนยันเรื่องนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบ ตามที่ปรากฏที่เป็นข่าว ไม่พบสำนักงานทนายความที่เป็นข่าวแต่อย่างใด
ผบ.ตร.กำชับทำคดีตรงไปตรงมา
พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผบช.ภ.5 เผยว่า หลังเกิดเหตุส่งทีมสืบสวนสอบสวนภาค และชุดสืบสวนสอบสวน จ.เชียงใหม่ ลงไปประสานพนักงานสอบสวน สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ เพื่อร่วมคลี่คลายคดี จากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า นายจารุชาติ ผู้ตายขี่รถ จยย.ชนท้ายรถ จยย.คู่กรณี แล้วเสียหลักล้ม ประกอบกับผู้ตายไม่ได้สวมหมวกกันน็อกทำให้ศีรษะกระแทกพื้นถนนเป็นเหตุให้เสียชีวิต ส่วนประเด็นจะมีรถคันอื่นขับไล่หรือติดตาม จากพยานหลักฐานยังไม่พบรถยนต์ขับไล่ติดตามช่วงถนนห้วยแก้ว คดีนี้ ผบ.ตร.กำชับให้ทำอย่างตรงไปตรงมา ตอบคำถามของสังคมให้ได้ ผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนเสียชีวิตผู้ตายทำงานอยู่สำนักงานทนายความของนักการเมืองท้องถิ่นชื่อดังใน จ.เชียงใหม่ใช่หรือไม่ ผบช.ภ.5 กล่าวว่า อยู่ระหว่างการตรวจสอบ ยังยืนยันข้อเท็จจริงไม่ได้
แม่เผยยังไม่มีใครยื่นมือช่วย
ส่วนบรรยากาศงานศพนายจารุชาติ มาดทอง อายุ 40 ปี ญาติตั้งบำเพ็ญกุศลที่บ้านเลขที่ 225 หมู่ 15 บ้านวังชมภู ต.ม่วงคำ อ.พาน จ.เชียงราย เย็นวันเดียวกัน มีชาวบ้านมาช่วยห่อข้าวเหนียวหมูทอด น้ำตาล หมากพลู อย่างละ 100 ห่อ เตรียมนำไปทำพิธีสวดถอนที่เกิดเหตุ เพื่อเรียกวิญญาณกลับบ้านในวันที่ 1 ส.ค.จากนั้นจะทำพิธีเผาศพเวลา 13.00 น. วันที่ 2 ส.ค.ที่สุสานบ้านร่องบอน หมู่ 12 ต.ม่วงคำ ทั้งนี้ นางตา วังมูล ผู้เป็นแม่ กล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆจากทางราชการ หรือจากใครทั้งสิ้น ผู้ตายเป็นเสาหลักของครอบครัว ส่งเงินมาให้ลูกสาวเรียนหนังสือ ก่อนรับศพจากที่โรงพยาบาลมีบิลเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาล 19,000 บาท ตนไปขอเบิกเงินล่วงหน้าจากกองทุนฌาปนกิจสงเคราะห์ในหมู่บ้านมาจ่าย การไปเป็นพยานปากเอกก็ไม่เห็นมีใครมาให้ความช่วยเหลืออะไรเลย