แม้อินเดียและจีนได้ตกลงยุติความตึงเครียด จากเหตุทหารของทั้ง 2 ฝ่ายตะลุมบอนต่อสู้กันโดยใช้มือเปล่า แท่งเหล็ก และหิน กลางหุบเขากาลวาน บนเทือกเขาหิมาลัย รอยต่อพรมแดนระหว่างทิเบตของจีนกับแคว้นลาดักห์ของอินเดีย ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทระหว่าง 2 ชาติ เมื่อคืนวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา จนเกิดการเสียชีวิตและบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย
- เหตุปะทะที่เกิดขึ้น ฝ่ายอินเดียยอมรับทหารสังเวยชีวิตไปอย่างน้อย 20 นาย ส่วนจีนสูญเสียหนักเช่นกัน แต่สื่อท้องถิ่นหลายแห่งของอินเดียให้ข้อมูลไปในทางเดียวกันว่า ทหารจีนเสียชีวิตมากถึง 40 นาย นับเป็นการปะทะรุนแรงที่สุดในรอบ 45 ปี ระหว่าง 2 ชาติมหาอำนาจทางทหารที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง
- ทหารของทั้ง 2 ฝ่าย เผชิญหน้ากันมาโดยตลอดจากข้อพิพาทบริเวณแนวพรมแดนบนที่สูง ระยะทาง 3,440 กิโลเมตร กระทั่งเกิดการปะทุครั้งล่าสุด เนื่องจากอินเดียสร้างถนนสายใหม่ตามแนวเส้นแบ่งเขตควบคุม ซึ่งเป็นจุดที่ใช้แบ่งพื้นที่ของทั้ง 2 ประเทศ ทำให้จีนไม่พอใจ ส่งทหารไปประจำบริเวณนั้น
- ย้อนไปในปี 2505 จีนและอินเดีย เคยทำสงครามสู้รบบริเวณนี้มาก่อน เนื่องจากจีนไม่พอใจอินเดียให้ที่พักพิงแก่ดาไลลามะ ผู้นำทางด้านจิตวิญญาณของทิเบต และจีนส่งทหารเข้าไปในพื้นที่อักไสชินและตัดถนนผ่าน สู่การจุดชนวนสู้รบกันเป็นระยะเวลา 1 เดือน 1 วัน กระทั่งจีนเป็นฝ่ายชนะ ได้กรรมสิทธิ์พื้นที่อักไสชิน
- ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างจีนและอินเดีย จะไม่สู้ดี แม้ทั้ง 2 ชาติตกลงยุติการตรึงกำลังบริเวณพรมแดน แต่เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา กองทัพจีนได้เคลื่อนย้ายกำลังพลและยุทโธปกรณ์ รวมถึงตั้งค่ายทหารบริเวณพรมแดนพิพาท จากการออกมาระบุของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของอินเดีย
ภาพดาวเทียม ของบริษัท มาซาร์ เทคโนโลยี ชี้ให้เห็นการเตรียมพร้อมของจีน - บริษัท มาซาร์ เทคโนโลยี ของสหรัฐฯ ได้ออกมาเผยแพร่ภาพถ่ายดาวเทียมเมื่อวันที่ 22 มิ.ย. ชี้ให้เห็นบังเกอร์ เต็นท์ และสิ่งปลูกสร้างที่เก็บยุทโธปกรณ์ทางทหาร ตามแนวพรมแดนบนหุบเขากาลวาน โดยสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุน่าจะถูกสร้างโดยจีน เนื่องจากภาพถ่ายทางอากาศก่อนหน้านี้ไม่เคยปรากฏมาก่อน
- ยังไม่เท่านั้นประชากรอินเดียได้เกิดกระแสต่อต้านจีนอย่างรุนแรง มีการขว้างปาเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ผลิตโดยจีน และทางการอินเดียสั่งแบนแอปพลิเคชันสัญชาติจีนมากถึง 59 รายการ หนึ่งในนั้นคือ “TikTok” อ้างว่าอาจเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจอธิปไตย มีความเสี่ยงต่อการถูกจารกรรมข้อมูลไซเบอร์ และล้วงข้อมูลผู้ใช้งาน
...

น.อ.สัมฤทธิ์ ทองอินทร์ ผู้เขียนหนังสือสงครามโลกครั้งที่ 3 ระบุ แม้จะไม่ใช่สงครามที่ต่างฝ่ายต่างยกกองทัพเข้าห้ำหั่นกัน แต่การที่ทั้งจีนและอินเดียต่างเร่งส่งทหาร รถถัง ปืนใหญ่ พร้อมเพิ่มทหารจำนวนมากเข้าแนวชายแดนที่เป็นข้อพิพาทมาหลายสิบปี ณ วันนี้อินเดียเร่งให้รัสเซีย ส่งมิกซ์ 29 และระบบขีปนาวุธ S-400 ทรงประสิทธิภาพอันดับ 1 ของโลกโดยด่วน สะท้อนว่าวันนี้อินเดียและจีนมีสัมพันธภาพที่ไม่ปกติอย่างแท้จริงแน่นอน
หากย้อนไปเมื่อสิบปีเต็ม มิตรภาพที่ดียิ่งระหว่างจีนและอินเดียก่อนหน้านี้ เต็มไปด้วยการร่วมมือที่แสนวิเศษสุด แม้กระทั่งความร่วมมือทางวัฒนธรรมวิถีชีวิตของพลเมืองทั้งสองประเทศ มีการประสานกัน โดยด้านเศรษฐกิจ ฝ่ายอินเดียยอมทุกอย่างเพื่อให้จีนได้ลงทุนการค้าธุรกิจ ด้วยจำนวนเงินนับมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ และผู้นำของสองประเทศผลัดกันเยือนกระชับมิตร จนทำให้โลกตะวันตกต่างอิจฉาตาร้อน
แต่ด้วยความสำเร็จของจีนในการพัฒนาเศรษฐกิจที่รุดหน้ากว่าประเทศใดๆ ของโลก ทำให้ต้องระบายเงินทุนจำนวนมากออกนอกประเทศ ก่อให้เกิดการครอบงำเศรษฐกิจในหลายๆ ประเทศทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และอินเดียเป็นหนึ่งในนั้นที่จีนดำเนินการ จนกระทั่งอินเดียเสียเปรียบจีนในด้านเศรษฐกิจ เฉพาะการขาดดุลการค้ากระอักเต็มกลืน และจีนมีนโยบายและโครงการขยายเส้นทางและแผนพัฒนาเพื่อหาทางออกสู่มหาสมุทธอินเดียและเอเชียใต้ พร้อมเร่งฟื้นความรุ่งเรืองของเส้นทางสายไหม ทำให้อินเดียได้รับผลกระทบโดยตรงและเป็นรองจีนทุกด้าน
“ด้วยเหตุนี้ในระยะ 2 ปีที่ผ่านมา อินเดียจึงปรับปรุงยุทธศาสตร์เพื่อรองรับสู้กับอิทธิพลของจีนทุกด้าน เช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลก หนึ่งในนั้นคือด้านการทหาร และต้องไม่ลืมว่าอินเดียก็มีปัญหากับปากีสถาน ซึ่งมีนิวเคลียร์เหมือนกัน”

ในส่วนชาติตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯ ทราบความเคลื่อนไหวมาโดยตลอด จึงรีบฉวยโอกาสทันที ทั้งการเดินทางมาเยือนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และพันธมิตรอย่างญี่ปุ่น และออสเตรเลีย เพิ่มความร่วมมือกระชับมิตร ถึงขั้นมีการซ้อมรบร่วมกัน
ส่วนการปะทะของทหารจีนและอินเดีย บริเวณชายแดนอันเนื่องมาจากการตะโกนด่ากันไปมา จนถึงขั้นนำกระบี่กระบองมาทุบตีจนถึงขั้นเสียชีวิตทั้งสองฝ่ายเฉียด 100 นาย จึงเป็นกุญแจที่เปิดประตูให้ทั่วโลกรู้ว่า มหาอำนาจทั้งรัสเซีย จีน สหรัฐฯ คงทำอะไรไม่ได้ เพราะอินเดียเป็นประเทศใหญ่มีประชากรมากและมีนิวเคลียร์ ยังไม่ชี้ชัดว่าจะยืนข้างใคร แต่ได้เร่งขายอาวุธและดึงมาเป็นมิตรที่แนบแน่นให้ได้
...
“การปะทะครั้งนี้ ทำให้เป็นตัวเร่งแรงกระตุ้นให้อินเดียต้องพัฒนาศักยภาพทั้งหมดเพื่อสู้กับจีน จะเห็นได้จากการเตรียมพื้นที่ถึง 2 ล้านไร่ เพื่อรองรับชาติต่างๆ ที่จะถอนการลงทุนจากจีน นอกจากนั้นยังออกฎหมายห้ามทุนจีนเซ้งซื้อธุรกิจบางประเภท ซึ่งตอกย้ำความจริงจังของอินเดีย”

นอกจากนี้การที่ปากีสถานและจีนจะแนบแน่นและใกล้ชิดกันมากขึ้น นั่นหมายความว่ารัสเซียพลอยได้รับประโยชน์ไปด้วย ส่งผลต่อนโยบายอื่นๆ ของชาติตะวันตกต่ออินเดียและปากีสถานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยอินเดียจำเป็นต้องเพิ่มอาวุธทุกอย่างให้ทัดเทียมจีน จึงไม่แปลกที่เร็วๆ นี้อินเดียทดลองยิงขีปนาวุธ และขณะนี้เร่งซื้ออาวุธจำนวนมาก โดยมีเป้าหมายที่ชาติตะวันตก และซื้ออาวุธจากรัสเซียบางชนิด
“โอกาสที่มิตรภาพอันหวานชื่นระหว่างจีนและอินเดีย จะกลับมาดังเดิมคงเป็นไปได้ยากขึ้น เพราะจีนย่อมไม่เปลี่ยนเป้าหมายทั้งหมดตามที่กล่าวมาเดินหน้าอย่างเดียว บทสรุป นับจากนี้เอเชียใต้คือเป้าหมายหลักที่มหาอำนาจทั้งหมดต้องแย่งกันคุมอำนาจ หรือทำอย่างไรก็ได้ดึงอินเดียมาเป็นพันธมิตรให้ได้ แต่ก็ไม่ง่าย เพราะตลอด 30 ปี อินเดียมีนโยบายและกลยุทธ์ที่เป็นตัวของตนเองแบบเฉพาะไม่เหมือนใครๆ และนี่ก็คือพายุลูกใหม่ที่มีผลต่อดุลอำนาจของโลก และอิทธิพลที่ซับซ้อนจริงๆ”.
...