"ธรรมนัส" สั่ง ส.ป.ก. เดินหน้าเต็มสูบ ช่วยเกษตรกรสู้ภัยแล้ง หลังพบปริมาณน้ำในอ่างเก็บลดน้อยลงกว่าปีที่แล้ว หลังการกระจายฝนลดลง หวั่นเกิดการขาดแคลนน้ำ กำชับจัดทำแผนแก้ไขระยะเร่งด่วนพัฒนาแหล่งน้ำ โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่นในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อช่วยพี่น้องเกษตรกร พร้อมกำหนดนโยบายหลัก 12 ด้านของรัฐบาล


จากที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เตรียมรับมือกับปัญหาภัยแล้งในปี 2563 และได้มีการสั่งการให้ทุกกรมในสังกัด จัดเตรียมแผนงานที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการทำการเกษตรให้แก่เกษตรกร หลังพบว่าสภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลาง (447 แห่ง) ปริมาตรน้ำในอ่างฯ 32,353 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 43 (ปริมาตรน้ำใช้การได้ 8,702  ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 17) ปริมาตรน้ำในอ่างฯ เทียบกับปี 2562 (38,579 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 51) น้อยกว่าปี 2562 จำนวน 6,226 ล้าน ลบ.ม. (ข้อมูล ณ 16 มิ.ย.63) และการคาดหมายในช่วงปลายเดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนกรกฎาคม มักจะเกิดสภาวะฝนทิ้งช่วง โดยปริมาณและการกระจายของฝนจะลดลงอย่างมาก และอาจก่อให้เกิดการขาดแคลนน้ำด้านการเกษตรในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่แล้งซ้ำซากนอกเขตชลประทาน


ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า จากที่ได้ไปตรวจเยี่ยมพื้นที่ ส.ป.ก.ทั่วทุกภาค พบว่าพื้นที่หลายแห่งประสบปัญหาในเรื่องของการขาดแคลนน้ำ จึงได้สั่งการเร่งด่วนไปยัง ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เพื่อจัดทำแผนการแก้ไขระยะเร่งด่วน โดยมอบนโยบายว่าพื้นที่ที่มีการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) แก่เกษตรกรแล้ว จะต้องจัดหาระบบสาธารณูปโภคให้พร้อมอยู่อาศัยและทำกินโดยเร็ว  

...


“วันนี้พี่น้องเกษตรกรที่อยู่ในเขต ส.ป.ก. จะไม่ต้องเผชิญกับปัญหาภัยแล้งอย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไป ผมกำลังเร่งดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อเพิ่มพื้นที่ชลประทานและแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องเกษตรกรอย่างเร่งด่วน ซึ่ง ส.ป.ก.จะทำงานเพียงหน่วยงานเดียวไม่ได้ ต้องบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่นในการแก้ไขปัญหาของพี่น้องเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน โดยเฉพาะการขับเคลื่อนความร่วมมือตามบันทึกข้อตกลงการบูรณาการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินร่วมกับ 9 หน่วยงาน และจะต้องทำให้เกิดเป็นรูปธรรมชัดเจนโดยเร็วที่สุด” ร.อ.ธรรมนัส กล่าว


ด้าน ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการ ส.ป.ก. กล่าวว่า ปัจจุบัน ส.ป.ก.ได้จัดที่ดินไปแล้ว 36 ล้านไร่ ใน 72 จังหวัด โดยมีพื้นที่แหล่งน้ำประมาณ 3.4 ล้านไร่ หรือประมาณร้อยละ 10 ของพื้นที่ทั้งหมด จากตัวเลขดังกล่าว ส.ป.ก.ได้ตระหนักถึงความลำบากในช่วงเกิดวิกฤตภัยแล้งของทุกปีที่พี่น้องเกษตรกรในเขต ส.ป.ก. ต้องประสบและจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน


"ขณะนี้ ส.ป.ก. ได้กำหนดโครงการที่สอดคล้องตามนโยบายหลัก 12 ด้านของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะในด้านที่ 10 เรื่อง การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนที่มีการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบรวมอยู่ด้วย ซึ่งเชื่อมโยงกับแผนบริหารจัดการน้ำ 20 ปีของประเทศ เป้าหมายเพื่อเพิ่มพื้นที่ชลประทานของน้ำทั้งระบบ รวมถึงงานตามนโยบายของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ในการแก้ปัญหาภัยแล้ง" เลขาฯส.ป.ก. กล่าว 

  


สำหรับโครงการเพิ่มพื้นที่ชลประทานในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อสนองนโยบายและขับเคลื่อนงานตามนโยบายสำคัญในการแก้ปัญหาภัยแล้งของ ส.ป.ก. ที่จะดำเนินงานในปีงบประมาณ 2563 ประกอบด้วย 3 โครงการหลัก 53 โครงการย่อย พื้นที่รับประโยชน์ประมาณ 10,426 ไร่ ได้แก่ 1.โครงการเพิ่มพื้นที่ชลประทาน จำนวน 33 โครงการ 22 จังหวัด พื้นที่รับประโยชน์ 5,582 ไร่ ได้รับงบประมาณจากกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม 2.โครงการเพิ่มพื้นที่ชลประทาน FLAG SHIP PROJECT จำนวน 6 โครงการ 3 จังหวัด ได้แก่ พะเยา พิจิตร กำแพงเพชร พื้นที่รับประโยชน์ 735 ไร่ ได้รับงบประมาณจากกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และ 3.โครงการเพิ่มพื้นที่ชลประทาน "1 ชุมชน 1 แหล่งน้ำ" จำนวน 14 โครงการ 9 จังหวัด พื้นที่รับประโยชน์ 4,109 ไร่ ภายใต้งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามมาตรการด้านการงบประมาณเพื่อบรรเทาผลกระทบจาก COVID-19 และสถานการณ์ภัยแล้ง


นอกจากทั้ง 3 โครงการดังกล่าวแล้ว เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินยังขอรับการสนับสนุนจาก ส.ป.ก. ในการพัฒนาแหล่งน้ำอีกจำนวน 711 โครงการ เช่น โครงการเพิ่มพื้นที่ชลประทาน 319 แห่ง โครงการ ขุดบ่อบาดาลโซลาร์เซลล์ 192 แห่ง และโครงการฝายชะลอน้ำชั่วคราวจำนวน 200 แห่ง ซึ่งเมื่อโครงการดังกล่าวทั้งหมดได้รับการสนับสนุนและดำเนินการแล้วเสร็จจะสามารถเพิ่มพื้นที่ชลประทานในเขต ส.ป.ก. ได้อีกเป็นจำนวนมาก


ทั้งนี้ ส.ป.ก. ยังได้กำหนดแผนบูรณาการบริหารจัดการน้ำภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี ร่วมกับสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) มีเป้าหมายตัวชี้วัดที่จะเพิ่มพื้นที่ชลประทานในเขตปฏิรูปที่ดินให้ได้ 20 ล้านไร่ ภายใน 20 ปี (2562-2581) ภายใต้ MOU 9 หน่วยงาน ระหว่าง ส.ป.ก. กับกรมชลประทาน กรมพัฒนาที่ดิน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล เป็นต้น โดยจะทำให้เกษตรกรในเขต ส.ป.ก. ได้รับประโยชน์ถึง 2 ล้านครัวเรือน

...


การพัฒนาแหล่งน้ำตาม MOU วันนี้มีผลสำเร็จชัดเจน โดยสามารถพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ ส.ป.ก. ไปแล้ว 61 จังหวัด 884 แห่ง ความจุน้ำรวม 270 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่ได้รับประโยชน์ 558,000 ไร่ อาทิ โครงการความร่วมมือกับกรมทรัพยากรน้ำ 14 โครงการ ใน 5 จังหวัด ได้แก่ อุทัยธานี สระบุรี หนองบัวลำภู ราชบุรี และประจวบคีรีขันธ์ หรือโครงการความร่วมมือกับกรมชลประทาน 18 โครงการ ใน 8 จังหวัด ได้แก่ อุทัยธานี กาฬสินธุ์ นครราชสีมา กาญจนบุรี ชุมพร สุราษฎร์ธานี ชัยภูมิ สุพรรณบุรี


ทั้งนี้ ส.ป.ก. ยังคงพัฒนาในด้านแผนงานของการบริหารจัดการน้ำในอนาคต เพื่อต่อยอดการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ปฏิรูปที่ดินให้เกิดความชุ่มชื้น รวมไปถึงการพัฒนารูปแบบการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่าอย่างหลากหลายให้แก่เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน โดยล่าสุดนโยบายรัฐบาล ภายใต้กรอบฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ กรอบ พ.ร.ก.เงินกู้ 4 แสนล้านบาท ส.ป.ก.ได้เสนอโครงการภายใต้กรอบแผนงาน/โครงการ กลุ่มที่ 3.4 แผนงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไว้ 2 ส่วน ดังนี้

1.โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ขนาดมากกว่า 2 ล้าน ลบ.ม. เป็นโครงการที่ ส.ป.ก. ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานต่างๆ อาทิ กรมปศุสัตว์ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และกองทัพบก (กอ.รมน.) ซึ่งมีกรมพัฒนาที่ดินเป็นเจ้าภาพหลักภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณรวม 13,423.3776 ล้านบาท ส.ค.63-มี.ค.64 ซึ่งในส่วนของ ส.ป.ก.จะดำเนินการในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดิน รวม 40 แห่ง 22 จังหวัด โดยมีเกษตรกรที่ได้รับประโยชน์ 33,000 ครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่เกษตรกรรมประมาณ 140,000 ไร่

...

2.โครงการพัฒนาโรงเรือนพร้อมระบบน้ำหยดอัตโนมัติในเขตปฏิรูปที่ดิน วงเงิน 51.4866 ล้านบาท ดำเนินการ 1 ปี 3 เดือน ก.ค.63-ก.ย.64 เป็นโครงการต่อยอดจากโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ตามนโยบาย เน้นกระบวนการผลิตแบบกลุ่ม เป้าหมายดำเนินการใน 40 พื้นที่ 240 โรงเรือน.