กลายเป็นประเด็นร้อนแรงซ้ำอีกครั้ง เมื่อหลายภาคส่วนแสดงจุดยืนไม่ต้องการให้ประเทศไทย เข้าร่วมเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ CPTPP (Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership) ครอบคลุมเรื่องการค้า การบริการและการลงทุน มีประเทศ 11 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น แคนาดา เม็กซิโก เปรู ชิลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ มาเลยเซีย บรูไน และเวียดนาม
- ฝ่ายคัดค้านแสดงความกังวล ประเทศไทยจะได้ประโยชน์ไม่คุ้มเสีย เกิดผลกระทบต่อภาคธุรกิจบริการ การเกษตร ระบบสาธารณสุข และการจดสิทธิบัตร โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการเกษตรจะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง ทั้งประเด็นสิทธิเมล็ดพันธุ์พืช ผลกระทบความมั่นคงทางอาหารและยา แม้ก่อนหน้านี้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ถอนเรื่องนี้กะทันหันออกจากการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 28 เม.ย. หลังมีกระแสคัดค้านรุนแรง
- ขณะที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) มองว่าเป็นประโยชน์สำหรับการปรับตัวของไทยให้สามารถแข่งขันกับประเทศต่างๆ และป้องกันการเสียโอกาสด้านการแข่งขันทางธุรกิจและการค้า เห็นควรสนับสนุนให้ไทย เข้าร่วมเจรจากับกลุ่มประเทศภายใต้ข้อตกลง CPTPP ในเดือน ส.ค.นี้ เพื่อพิจารณาผลดี ผลเสีย ต่อการเข้าร่วมเป็นประเทศภาคีตามข้อตกลง ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 4 ปี และไทยสามารถยุติการเจรจาในทุกขั้นตอนได้หากเห็นว่าไม่ได้ประโยชน์
- ส่วนที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้เห็นชอบให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ CPTPP โดยกำหนดให้มีกรรมาธิการวิสามัญ จำนวน 49 คน และเห็นชอบให้มีกรอบการศึกษา จำนวน 30 วัน เพื่อหาข้อสรุปว่าไทยควรเข้าร่วมหรือไม่ โดยมีการประชุมนัดแรก เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.
...
“วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ” ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี หรือไบโอไทย ซึ่งเคลื่อนไหวคัดค้านในเรื่องนี้มาโดยตลอด กล่าวกับ ”ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์” ว่า ความพยายามของรัฐบาลไทยในการเข้าร่วม CPTPP มีมาตั้งแต่ปี 2540 โดยจะทำให้ไทยต้องยอมรับอนุสัญญาคุ้มครองพันธุ์พืช หรือ UPOV1991 ซึ่งมีข้อดีกับบริษัทเอกชนรายใหญ่ เนื่องจากมีการออกแบบรองรับเพื่อการพัฒนาวิจัยของบริษัทขนาดใหญ่ แต่มีข้อเสียกับเกษตรกรไทย และผู้บริโภค ทำให้การเก็บเมล็ดพันธุ์พืชไปปลูกต่อกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และราคาของเมล็ดพันธุ์พืชจะแพงขึ้น 3-5 เท่าตัว แล้วแต่เมล็ดพันธุ์พืชนั้นๆ
“เมื่อปี 2560 รัฐแก้กฎหมายเพื่อจะเข้าร่วมอนุสัญญาคุ้มครองพันธุ์พืช จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ทำให้ต้องถอนร่างออกไป ก่อนเข้าร่วม CPTPP เพราะการเจรจาส่วนใหญ่จะออกมาในรูปแบบที่ว่าทางประเทศที่เป็นภาคีจะเรียกร้องเรื่องอะไร และที่ผ่านมา มีหน่วยงานบางแห่งพยายามบิดเบือนว่า UPOV1991 ให้สิทธิพิเศษแก่เกษตรกรในการเก็บรักษาพันธุ์พืชไปปลูกต่อ ซึ่งไม่เป็นความจริง อาจทำได้ในบางกรณีเฉพาะธัญพืชเมล็ดเล็ก ให้ไปปลูกเพื่อการยังชีพเท่านั้น จะมีเกษตรกรและชาวนาสักกี่คนจากหลายสิบล้านครัวเรือน รอดพ้นจากข้อยกเว้นเก็บพันธุ์ไปปลูกต่อได้ โดยไม่กลายเป็นอาชญากรที่ละเมิดกฎหมาย รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำผลผลิตไปแปรรูป จะถือเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท”
พร้อมแสดงความกังวลเมื่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบเข้าร่วม CPTPP ในการสรุปความเห็นว่าชะตากรรมของเกษตรกรและอนาคตความมั่นคงทางอาหารของประเทศจะเป็นเช่นไร อีกทั้งการที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) ออกมาสนับสนุน อาจเป็นเกมการเมืองสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลในการไปยื่นหนังสือขอเข้าร่วม CPTPP ให้ทันในเดือน ส.ค.นี้ เพราะคณะกรรมาธิการฯ ที่ตั้งมาจาก 9 พรรคการเมือง ถูกบีบให้มีระยะเวลาทำงานเพียงแค่ 30 วัน ซึ่งน้อยมาก
อย่างไรก็ตาม ยังหวังว่าขั้นตอนในการมีส่วนร่วมของสภาฯ จะมีการเผยแพร่เอกสารต่างๆ ไปสู่ประชาชนให้สามารถติดตาม จนอาจสามารถหยุดยั้งเรื่องนี้ได้ ยกเว้นรัฐบาลมีแผนดันทุรังเดินหน้าไว้อยู่แล้ว โดยใช้เสียงข้างมากลากไป แต่ยังเชื่อมั่นในศักยภาพคนรุ่นใหม่ที่รับรู้ข้อมูลในหลายด้าน จะออกมาจุดพลุเคลื่อนไหวกดดันในเรื่องนี้เช่นกัน เพื่อทำให้นโยบายเกี่ยวกับปากท้องของเรามาจากประชาชนไม่ใช่บริษัทเมล็ดพันธุ์ และกลุ่มผู้มีอิทธิพลในระบบเกษตรกรรมและอาหาร ซึ่งบ้านเมืองไม่ควรถูกปกครองโดยระบบการใช้อำนาจเส้นสายล็อบบี้ เพื่อให้ได้สิ่งที่กลุ่มของพวกเขาต้องการเหมือนที่ผ่านมา
...
“ประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ที่บางบริษัทจะได้รับนั้น ต้องแลกกับค่าใช้จ่ายด้านเมล็ดพันธุ์ที่เกษตรกรต้องจ่ายแพงขึ้น และจากข้อมูลเมื่อ 7 ปีที่แล้ว เคยมีการประเมินมูลค่าตลาดเมล็ดพันธุ์พืชรวมทั้งเมล็ดพันธุ์ข้าว อยู่ที่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท หากไทยเข้าร่วม CPTPP มูลค่าของเมล็ดพันธุ์พืชเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 9 หมื่นล้าน ถึง 1.5 แสนล้านบาท จะส่งผลร้ายต่อเกษตรกรส่วนใหญ่ และกระทบความมั่นคงทางอาหาร ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบต่อไปในอนาคต จากผลงานรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจมาจาก คสช.ฟังเสียงเฉพาะภาคเอกชน และนายทุนเท่านั้น”.