การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 รุนแรงมากขึ้น ในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในการประกาศ “เคอร์ฟิว” ทั่วประเทศ ระหว่างเวลา 22.00 น. ถึง 04.00 น. ของทุกวัน มีผลบังคับใช้วันที่ 3 เม.ย.นี้

ยกเว้นบุคลากรทางการแพทย์ การขนส่งเวชภัณฑ์ ขนส่งผู้ป่วย การขนส่งด้านพลังงาน จากก่อนหน้านั้นหลายจังหวัดออกมาตรการปิดเมืองห้ามเดินทางเข้า-ออกจังหวัด และขอความร่วมมือประชาชนห้ามออกนอกเคหสถานตามเวลาที่กำหนด

แน่นอนอาจจะส่งผลกระทบบ้างในการทำกิจกรรมต่างๆ ของหลายคน และโดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ ซึ่งยังไม่คุ้นชินกับการประกาศ "เคอร์ฟิว" เพราะตั้งแต่เติบโตมายังไม่เคยเจอมาก่อน อาจต้องปรับตัวในการใช้ชีวิต แต่ก็ต้องทำเพื่อชาติ เพื่อร่วมกันหยุดไวรัสโควิดไม่ให้แพร่กระจายไปทั่วให้ได้

ด้าน รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวกับ “ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์” ว่า การประกาศ "เคอร์ฟิว" เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเวลาในการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันของแต่ละคน ซึ่งจะถูกจำกัดตั้งแต่ช่วงเวลา 4 ทุ่ม ถึง ตี 4 ทำให้ต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ คุ้นชินกับการทำกิจกรรมตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อ ปั๊มน้ำมัน หรือการสื่อสารทางทีวีโทรทัศน์ต่างๆ ซึ่งแน่นอนจะได้รับผลกระทบ

...

  • สิ่งแรกที่เกิดขึ้นจากการประกาศเคอร์ฟิว จะกระทบต่อเวลาในการทำกิจกรรมบางอย่างที่จะต้องถูกห้าม เช่น การเข้า-ออกประเทศ จะมีข้อห้ามมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้คนบางกลุ่มที่จะมีธุระในการเข้า-ออกต่างประเทศ ส่วนจะกระทบต่อการท่องเที่ยวนั้นคงไม่มากนัก เพราะวิกฤติโควิดเกิดขึ้นทั่วโลก จึงไม่มีใครท่องเที่ยว จะกระทบเฉพาะคนที่ทำธุรกิจ ธุรกรรม ซึ่งต้องเดินทางไปต่างประเทศ เพราะฉะนั้นอาจต้องปรับตัวเรื่องเวลา หรือต้องหันมาทำธุรกรรมผ่านทางออนไลน์มากขึ้น



  • การประกาศเคอร์ฟิวต้องมีมาตรการบางอย่าง อาจมีข้อจำกัดในการออกจากบ้าน บังคับต้องใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจากบ้าน อย่างที่ก่อนหน้านั้นมีบางจังหวัดได้ออกประกาศบังคับคนในพื้นที่ไปแล้ว ดังนั้นก็ต้องปฏิบัติตาม ไม่เช่นนั้นจะมีโทษปรับ และต้องผ่านการคัดกรองโดยด่านตรวจ ซึ่งจะมีความเข้มข้นขึ้น และมีการตั้งด่านตรวจมากขึ้น

  • ด้านวิถีชีวิตในการรวมตัวของคนทั่วไปจะเปลี่ยนไป โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่จะได้รับผลกระทบ ซึ่งครั้งนี้มีความแตกต่างจากการประกาศเคอร์ฟิวเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา มีการห้ามรวมกลุ่มชุมนุมทางการเมืองในช่วงการรัฐประหาร แต่ครั้งนี้เมื่อมีการสั่งปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ ทำให้คนบางกลุ่มมีความพยายามไปร่วมกลุ่มจัดปาร์ตี้ในสถานที่อื่นๆ จึงกระทบกับการใช้ชีวิตพอสมควร และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างแน่นอน เมื่อกิจกรรมทางสังคมไม่สามารถเดินต่อไปได้

  • การประกาศเคอร์ฟิว จะยังส่งผลกระทบต่อรัฐบาลในแง่ความเชื่อมั่นในเรื่องของนโยบาย การแก้ไขปัญหา เพราะหากขาดประสิทธิภาพ อาจส่งผลกระทบต่อรัฐบาลได้ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าจะเกิดปัญหาตามมาเมื่อผ่านพ้นวิกฤติโควิดไปแล้ว รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลกจะตกต่ำตามมา เช่นเดียวกับการเกิด The Great Depression อันยาวนาน หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ในช่วง ค.ศ.1914-1925 ที่มีผลกระทบไปทั่วโลก ดังนั้นต้องขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของรัฐบาล

“ที่ผ่านมา 3 อาทิตย์ มีคนตกงานเห็นชัดเจนมาก เพราะโควิดได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตผู้คน และอาจเปลี่ยนแปลงโลกได้ ทำให้คนหันมาทำงานผ่านทางออนไลน์มากขึ้น ต้องเปลี่ยนแปลงทักษะด้านนวัตกรรม มาใช้กับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จะเห็นได้จากขณะนี้ธุรกิจที่รอดจะเกี่ยวกับนวัตกรรม แอปพลิเคชันทั้งหลาย ธุรกิจเดลิเวอรี่ ถือว่าวิกฤติโควิดได้ทำให้โลกเปลี่ยนครั้งใหญ่ นำไปสู่การปรับตัวของผู้คน เมื่อมาถึงจุดนี้พวกเราทุกคนต้องช่วยกันป้องกันโควิดไม่ให้ระบาดเป็นวงกว้าง และภาครัฐก็ควรต้องบริหารจัดการให้ดี”. รศ.ดร.ยุทธพร กล่าวตอนท้าย.