สร้างความกังวลให้กับชาวโลกไม่น้อย เมื่อนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนออกมาระบุเชื้อไวรัสโควิด-19 มีการกลายพันธุ์ จากสายพันธุ์เอส หรือ S Type ซึ่งมีความรุนแรงน้อย มาเป็นสายพันธุ์แอล หรือ L Type มีความรุนแรงมากขึ้น ในช่วงการแพร่ระบาดไปหลายประเทศทั่วโลก

  • ไวรัสกลายพันธ์ุนี้ พบก่อนวันที่ 7 ม.ค. ในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน เมืองต้นตอการแพร่ระบาดของโรค โดยผู้ป่วยมีการติดเชื้อไวรัสตัวใดตัวหนึ่ง ระหว่างสายพันธุ์เอส และสายพันธุ์แอล โดยเชื้อไวรัสทั้ง 2 ตัวจะไม่อยู่ในบุคคลเดียวกัน

  • ไวรัสสายพันธุ์แอล เป็นไวรัสกลายพันธุ์สามารถติดต่อ และแพร่กระจายได้มากกว่าเชื้อไวรัสสายพันธุ์เอส เนื่องจากเจ้าไวรัสพันธุ์แอล สามารถแพร่กระจายทางอุจจาระ และปัสสาวะ นอกจากการแพร่ระบาดทางละอองทางเดินหายใจ

  • กลายเป็นว่าสายพันธุ์เอส ซึ่งเริ่มแพร่ระบาดในปลายเดือนธ.ค. 2562 ในเมืองอู่ฮั่น เป็นเชื้อธรรมดา มีผู้ป่วยติดเชื้อ 30% แตกต่างกับสายพันธุ์แอล มีความร้ายแรงกว่าและแพร่กระจายอย่างเร็ว เมื่อต้นเดือนม.ค. 2563 ทำให้มีผู้ป่วยติดเชื้อมากถึง 70%

  • ที่น่าตกใจมากกว่านั้น เชื้อไวรัสโควิด-19 อาจกลายพันธุ์ได้อีก เมื่อมีการแพร่ระบาดไปทั่วโลก โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวจีน ตั้งข้อสมมติฐานว่าอาจเกิดจากมาตรการคุมเข้ม ในการชัตดาวน์ประเทศจีน อาจเป็นปัจจัยทำให้กลายพันธุ์ จะต้องมีการพิสูจน์ต่อไป

  • ขณะที่ ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผอ.กลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์ไบโอเทค ออกมาแย้งว่าในขณะผู้ป่วยในจีนมีอาการไม่รุนแรง ไม่ได้เก็บตัวอย่างไวรัส แต่เลือกไวรัสของผู้ป่วยหนักมาวิเคราะห์และสรุปอย่างเดียวว่า L-type คือตัวรุนแรง เป็นการสรุปที่ไม่สมเหตุสมผลโดยไม่มีข้อเท็จจริงใดๆ

...

ด้าน “ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา” หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และกรรมการให้คำปรึกษา "เชื้อไวรัสโควิด-19" กล่าวกับ “ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์” ว่า ยังไม่รู้ว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์จริงหรือไม่ เพราะตอนแรกเชื้อนี้มาจากค้างคาวและเข้าไปสิงอยู่ในตัวนิ่ม ซึ่งรู้มานานพอสมควรว่าเกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ช่วงก่อนปีใหม่ จนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์ชาวจีน เก็บตัวอย่างไวรัสของผู้ป่วยจำนวน 103 คน และพบว่ามีความผันแปรทางรหัสพันธุกรรม จึงไปเทียบกับตัวนิ่มจนพบว่าเชื้อไวรัสตัวนี้มีความผันแปรแตกต่างกัน

นั่นแสดงว่ามีการแปรรหัสพันธุกรรมไปเรื่อยๆ โดยในระดับยีนส์ มีการวิเคราะห์พบว่า มีการผันแปรพันธุกรรม ซึ่งมีน้ำหนักมากพอในการเปลี่ยนแปลงของกรดอะมิโน ทำให้เชื่อว่าไวรัสสายพันธุ์เอส มาก่อน แล้วกลายมาเป็นสายพันธุ์แอล

“สายพันธุ์แอล อาจเป็นกลุ่มก้าวร้าว ดุร้าย ทำให้มีผู้ติดเชื้อไปยังคนมากถึง 70% เลยมีการตั้งสมมติฐานกันว่าน่าจะเกิดจากการคุมเข้มออกมาตราการป้องกันต่างๆ ของจีน ไม่ว่าทั้งยาและการควบคุมการแพร่กระจาย จนไวรัสสายพันธุ์แอล เริ่มผันแปรตัวเองให้มีชีวิตอีกครั้ง กระทั่งกลับมาเป็นสายพันธุ์เอส อีกครั้ง แต่ทั้งหมดเป็นการเปรียบเทียบรหัสพันธุกรรม นำมาเทียบเคียงกับรหัสพันธุกรรมในคน ดูความเป็นได้ว่า ไวรัสตัวไหนดุร้าย หรือไม่ดุร้าย สามารถบอกได้หรือไม่ในการทำนายโรคว่า คนติดเชื้อคนนี้แย่หรือไม่ ต้องมีการพิสูจน์ความจริงอีกครั้งว่า ไวรัสตัวแอล ดุร้ายจริงหรือไม่ และคนติดไวรัสตัวเอส อาจมีอาการเพียงน้ำมูกไหลจริงหรือไม่”

สรุปว่าขณะนี้อาจบอกไม่ได้ว่าไวรัสตัวใดร้ายแรงมากกว่ากัน เนื่องจากไวรัสมีหลายตัว ยกตัวอย่างไวรัสซิกา มีการแพร่ระบาดจากหมู่เกาะแคริบเบียน ไปทั่วโลกโดยมีการเปลี่ยนพันธุกรรม เปลี่ยนยุงลายจากชนิดหนึ่งกลายเป็นอีกชนิดหนึ่ง เรียกว่าวิวัฒนาการของไวรัส เพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้อย่างเหมาะสม ในการไปอยู่กับสิ่งมีชีวิตตัวใหม่ โดยไม่เรียกว่าการผ่าเหล่า แต่เป็นวิวัฒนาการในการปรับตัวให้อยู่ได้ของไวรัส ในการไปอยู่ในสัตว์อีกชนิด จากสัตว์สปีชีส์หนึ่งไปอีกสปีชีส์หนึ่ง เพราะไวรัสสามารถเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาได้ หากไปหาที่อยู่ใหม่ต้องมีวิวัฒนาการให้เข้ากับสิ่งมีชีวิต ต้องวิวัฒนาการไปด้วยกัน อย่างกรณีไวรัสเปลี่ยนจากค้างคาว มายังตัวนิ่ม แต่ที่ผ่านมามีรายงานบางตัวระบุว่าไม่ใช่ แต่เกิดจากแรงบีบของไวรัสกับสัตว์นั้นๆ

...

สิ่งที่บ่งบอกชัดว่าไวรัสมีวิวัฒนาการในการปรับตัว เพราะเมื่อปี 2004 เคยไปเจอว่ามีโคโรนา 2 ชนิด อยู่กับค้างคาวตัวเดียวกัน แต่คิดว่าไวรัสน่าจะประกอบร่างใหม่ สุดท้ายแล้วสรุปว่าเจ้าไวรัสตัวเก่าปรับตัว กระทั่งไปสู่คน แสดงให้เห็นว่าไวรัสนั้นมีการยืดหยุ่นปรับตัวได้ ส่วนไวรัสโควิดพันธุ์เอส ไม่กลัวความร้อน จะปรับตัวตามอากาศ แสดงอาการเงียบๆ เมื่อคนติดเชื้อจะไม่แสดงอาการ และค่อยๆ ดุร้าย ทำให้คนติดเชื้อไม่รู้ จึงแพร่ไปยังคนจำนวนมากและมากขึ้น

“ขอภาวนาให้การแพร่ระบาดในไทยเป็นไวรัสพันธุ์เอสที่ไม่แสดงอาการ จากคนไม่น่าสงสัยติดเชื้อ กลับกลายมาเป็นคนแพร่เชื้อ มาแบบเงียบๆ ไม่ทำให้คนตาย หากคนไทยติดเชื้อ 30 ล้านคน ครึ่งหนึ่งของประเทศ อาจจะเป็นการป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อต่อ คนติดเชื้อจะไม่เป็นอะไรมากเหมือนไข้หวัด ยกเว้นคนกลุ่มเสี่ยงจะเป็นอันตราย แต่หากเป็นการระบาดของสายพันธุ์แอล มันแรงมากอย่างที่จีนบอกแต่ตรงนี้ต้องรอการพิสูจน์อีกครั้ง คาดรู้ผลอีก 1 อาทิตย์ และหวังว่าในไทยจะเป็นพันธุ์เอส ผมขอให้คนไทยโชคดี”.

...