คดีโหดกรณีล่า “ไอซ์ หีบเหล็ก” อายุ 40 ปี หนุ่มทายาทเจ้าของตลาดดังในอดีตย่านบางแค จับหญิงสาววัย 22 ปี ยัดหีบเหล็กใส่กุญแจ “ให้ตายทั้งเป็น” และนำศพฝังดินในป่าหลังบ้าน “อำพรางคดี” กลายเป็นคดีอุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญกลางกรุง ที่ไม่มีใครไม่รู้จักเรื่องราวเหตุการณ์นี้...
นับจากชุดสืบสวน กก.ดส. บก.สส.บช.น.พร้อมหน่วยปฏิบัติการพิเศษอรินทราช 26 จับกุม “ไอซ์ หีบเหล็ก” และตรวจค้นหลังบ้านพบศพ “น้องกุ๊กกิ๊ก” อายุ 22 ปี ถูกฝังดินลึก 1 เมตร ที่หายตัวไปตั้งแต่เดือน ต.ค.62
คดีนี้ยังไม่จบเพียงเท่านี้ มีข้อมูลเพิ่มเติมว่า...มีหญิงสาวหน้าตาดีหลายคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องพัวพันกับผู้ต้องหารายนี้กลับหายตัวไป...“อย่างมีเงื่อนงำ” คาดตกเป็นเหยื่อฆาตกรรมโหดอีก จนมีการขยายผลปูพรมค้นหาทุกตารางนิ้วของพื้นที่ พร้อมระดมชุดนักดำน้ำตรวจหาในบ่อน้ำใกล้บ้านผู้ต้องหาท้ายซอยเพชรเกษม 47
ปรากฏว่า...ยิ่งค้น ยิ่งเจอ ยิ่งหา...ยิ่งพบหลักฐานเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ ซุกใต้ประตูเหล็ก มีโต๊ะม้าหินทับอีกชั้นในก้นบ่อน้ำ ที่ยังระบุเพศ อายุไม่ได้ เชื่อว่า...ไม่น้อยกว่า 3 ศพ นำส่งกองพิสูจน์หลักฐาน ตรวจอัตลักษณ์บุคคล เพื่อพิสูจน์ทราบผู้เสียชีวิต...ในการดำเนินคดีตามกฎหมาย
แต่เรื่องนี้ยังมีหลายเหลี่ยมมิติที่ต้องมาพูดกันต่อ ในด้านนักอาชญาวิทยา...มีการถอดรหัสพฤติกรรม “ไอซ์ หีบเหล็ก” ลักษณะอารมณ์โมโหร้าย นำสู่ชนวนความโหดเหี้ยม มีมูลเหตุจากความรุนแรง เริ่มจากครอบครัว ส่งผลต่อบุคลิกภาพ ความคิด การตัดสินใจของเด็กที่เติบโตขึ้นมา
ในการถอดรหัสพฤติกรรมคดีนี้ รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ผู้ช่วยอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม ม.รังสิต ให้ข้อมูลว่า “คดีไอซ์ หีบเหล็ก” มีลักษณะรูปแบบเป็นตามหลักวิชาการหลายอย่าง จากการถอดรหัสพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุครั้งนี้
...
ในประเด็นแรก...“การอบรมเลี้ยงดูในวัยเด็ก” หากศึกษาภูมิหลังสภาพชีวิต “ไอซ์” เติบโตขึ้นมาในครอบครัว “คุณพ่อ คุณแม่” มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกัน มักใช้ความรุนแรง ตัวอย่าง...“คุณพ่อ” มีส่วนเกี่ยวข้องคดีทำร้ายเด็กวัย 15 ปีเสียชีวิต และต่อสู้คดีจนพ้นผิด ส่วน “คุณแม่” มีส่วนพัวพันจ้างวานฆ่า “สามี” คือ คุณพ่อของไอซ์...
กระทั่งสมัยวัยเด็กขาดความรัก ความอบอุ่นในการเลี้ยงดูภายในครอบครัว ถูกทอดทิ้งไม่เอาใจใส่ ทำให้มีพฤติกรรมก้าวร้าว เกเร ไม่ชอบเรียนหนังสือ และหนีเที่ยวบ่อย มีการพกปืนไปโรงเรียนจนถูกย้ายโรงเรียนอยู่หลายครั้ง ซึ่งพฤติกรรมนี้เรียกว่า “การเบี่ยงเบนทางสังคม”
ตามหลักอาชญาวิทยา...“เด็กมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางสังคม” มีลักษณะพฤติกรรมต่อต้านสังคม หากไม่ได้รับปรับบรรทัดฐานทางสังคมในอนาคตจะเริ่ม “ละเมิดกฎหมาย” ถ้าไม่ได้รับการเปลี่ยนพฤติกรรมอีก ก็ยิ่งละเมิดกฎหมายรุนแรง มีความถี่ เพิ่มระดับกระทำความผิดมากขึ้นตามมา...
สิ่งนี้กลายเป็นการซึมซับพัฒนาบุคลิกภาพ รวมถึงความรู้สึกนึกคิด มีการสะสมอยู่ก้นบึ้งของจิตใจ จนสะท้อนออกมาถึงความเป็นตัวตนแท้จริง พูดกันง่ายๆ...คือ “กลายเป็นการก่ออาชญากรรม” มีสาเหตุจากในครอบครัวใช้ความรุนแรง ส่งผลต่อสภาพจิตใจ และความนึกคิด...
ประเด็นที่สอง...“รูปแบบพฤติกรรม และการก่อเหตุ” ยอมรับว่า...“ไอซ์” นิยมใช้ความรุนแรงต่อผู้อื่น โดยเฉพาะผู้หญิงที่ตัวเองชื่นชอบ มีเรื่องใช้สารเสพติดมาเกี่ยวข้องด้วย ทำให้บางครั้งใช้ยาเกินขนาดไปกระตุ้นให้มีความก้าวร้าวยิ่งขึ้น ประกอบกับมีปัญหาการเลี้ยงดูที่ขาดการขัดเกลาทางสังคม ซึ่งเป็นปัจจัยการแสดงออกครั้งนี้
ก่อนหน้านี้เคยบรรยายเกี่ยวกับคดีลักษณะนี้ในประเทศแคนาดา ที่มีเก็บข้อมูลครอบครัวใช้ความรุนแรง หรือพ่อแม่มีพฤติกรรมดื่มแอลกอฮอล์ และเกี่ยวข้องสารเสพติด พบว่า เด็กในครอบครัวมีการซึมซับเลียนแบบในพฤติกรรมเช่นนั้น ที่มีสถิติเด็ก เยาวชนกลุ่มนี้เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่พวกเขาเผชิญมากกว่าครอบครัวปกติ
ตัวอย่าง...ครอบครัวใด...ใช้ความรุนแรง ทำให้เด็กคนนั้นก็มีพฤติกรรมใช้ความรุนแรงด้วย ขณะที่ครอบครัวไหนใช้สารเสพติด เด็กมักเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งนั้นเช่นกัน
...
ย้อนมา “คดีไอซ์ หีบเหล็ก” ที่มีคำถามว่า...การฆ่าหญิงสาวคนรักแล้วเกิดประโยชน์อะไรนั้น?...วิเคราะห์ได้ว่า...“ไอซ์” เป็นบุคคลมีฐานะดี มีความพร้อมทรัพย์สิน เงินทอง แต่มีสิ่งหนึ่ง...ต่างโหยหามาเกือบตลอดทั้งชีวิต คือ “เรื่องความรัก” ที่ไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน แม้แต่คนในครอบครัว หรือญาติ พี่น้องก็ตาม...
หลักอาชญาวิทยาพบว่า หน่วยงานสังคมเล็กที่สุดที่มีบทบาททางพฤติกรรม ความรู้สึก นึกคิดของคนสูงที่สุด คือ “ครอบครัว” แต่ปรากฏว่า “ไอซ์” กลับขาดเรื่องนี้ทำให้หลงรักบุคคลใดแล้วมักกักขังไว้ในห้องอยู่ตลอด สาเหตุเพราะไม่เข้าใจนิยาม...“ความรักอย่างแท้จริง” ที่มีเส้นแบ่งของคำว่า “ความรัก” และ “ความเห็นแก่ตัว”
กระทั่งมีการแสดงทั้ง “ความรัก” ผสมผสาน “ความเป็นเจ้าข้าว... เจ้าของ” ต้องการครอบครองเพียงผู้เดียว มีการแสดงออกด้วยการใส่กุญแจมือ นำไปใส่หีบกล่องเหล็กขังไว้ ประกอบกับมีต้นทุนเดิมเรื่องพฤติกรรมก้าวราวใช้ความรุนแรงอยู่แล้ว ส่งผลต่อกระทำแก่บุคคล ที่รักรุนแรงเพื่อไม่ต้องการสูญเสีย
ทว่า...พฤติกรรมนี้ยังสะท้อนถึงสังคมไทยในปัจจุบันกำลังมองเรื่อง “ความรัก” มีลักษณะผิดเพี้ยนจากนิยาม “ความรักเดิม” ในอดีตเคยเป็นเรื่องที่สวยงาม แต่ตอนนี้กลับมองเป็นการครอบครอง หวงแหน การเป็นเจ้าข้าว...เจ้าของ ถือว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมกันขึ้นมากมาย โดยเฉพาะฆ่าคนที่ตัวเองรัก
หนำซ้ำ...บางคนมองว่า “ความรัก” เป็นอุดมคติที่ไม่มีอยู่จริง นำเปรียบเป็นสิ่งของ หรือทุนนิยมที่มีวัตถุเข้ามาเกี่ยวข้องในการตอบสนองความต้องการ กลับลืมพื้นฐานเรื่องความรัก คือความสวยงามทางจิตใจ
...
ทำให้การคบหากันต้องมี “วัตถุเป็นตัวตั้ง” มองข้ามความรักแท้จริง
“เมื่อผิดหวังมักมีความโกรธแค้น จ้องทำร้ายกัน ทำให้มีคดีฆาตกรรมคนรักรุนแรงขึ้นทุกวัน แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เสมอไป เพราะเกี่ยวกับการอบรมเลี้ยงดูของครอบครัวมาเป็นองค์ประกอบด้วย เช่น บางคนมีสายใยในครอบครัว ถูกปลูกฝังสิ่งที่ดีๆที่เป็นตัวเหนี่ยวรั้งไม่ให้ไปทำร้ายคนรักตีจากก็ได้” รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ว่า
มีความเชื่อมโยงตามหลัก...“ทฤษฎีความผูกพันทางสังคม” ความผูกพันสายใยในครอบครัวและชุมชนมีความสำคัญมาก ที่ต้องใช้ “หลักธรรม” เข้ามากำกับเสริมในชีวิตด้วย ตามคำสอนพุทธศาสนา...“ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่ใช่ของเรา แม้แต่ตัวตนเอง” อาจส่งผลให้การฆาตกรรมลดลง และคนละเมิดกฎหมายน้อยลงได้
กรณี “คดีไอซ์ หีบเหล็ก” ถือว่า เป็นคดีอุทาหรณ์ให้สังคมยุคใหม่ ในการดูแลบุตรหลาน เพราะ “ไอซ์” ถูกเลี้ยงดูตามใจแต่เด็ก “ถ้าอยากได้ก็ต้องได้” สะท้อนถึงการเลี้ยงดูแบบ “สปอยล์ลูกเกินไป” หรือ “ใช้เงินเลี้ยง” จนมีปัญหาตั้งแต่การอบรม การขัดเกลาทางสังคม เป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงเด็กและเยาวชน...
...
ปัจจุบันสังคมกำลังประสบปัญหาลักษณะนี้อยู่มากมาย ในอนาคตอีก 5 ปี หรือ 10 ปีข้างหน้า อาจมีไอซ์ หีบเหล็กภาคสองก็ได้ เพราะการเลี้ยงดูแบบสปอยล์นี้อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย...ทำให้เด็กเติบโตเป็นคนดีในสังคม แต่จำเป็นต้องให้ความรัก ความอบอุ่น และคำสอนขัดเกลาจิตใจควบคู่กันด้วย
นั่นหมายความว่า...เด็ก เยาวชนคนใดมีพฤติกรรมเกเร ไม่ชอบเรียนหนังสือ หากยังไม่ปรับสู่บรรทัดฐานทางสังคมเหมือนเด็กทั่วไป มีแนวโน้มละเมิดกฎหมายเพิ่มอีก ฉะนั้นผู้ปกครองต้องช่วยกันดูแลบุตรหลานเอาใจใส่เพิ่มมากขึ้น
ประเด็นอยากฝาก...ครอบครัวใช้ความรุนแรง หรือครอบครัวหย่าร้างกันไป เมื่อลูกอยู่กับพ่อเลี้ยง แม่เลี้ยงถูกทุบตี “เพื่อนบ้าน” มีบทบาทสำคัญ ในการเป็นหูเป็นตา สามารถแจ้งตำรวจได้ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 จะมีหน่วยงานเกี่ยวข้องเข้าไปดูแลทันที
เรื่องนี้ทำให้หวนนึกถึงสำนวนสุภาษิตที่ว่า...“ รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี” ลูกทำผิดก็ควรอบรมสั่งสอนลูก อาจมีการลงโทษบ้างตามสมควร ทั้งหมดที่ทำไปก็...เพราะรักลูกอยากให้ลูกเป็นเด็กดี.