แพทย์ เตือน 9 กลุ่มโรค หรือปัญหาสุขภาพที่มีผลต่อสมรรถนะในการขับขี่ยานพาหนะ รวมทั้งการรับประทานยาบางชนิด ที่ประชาชนต้องระมัดระวัง อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
นพ.อัษฎางค์ รวยอาจิณ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีการเกิดอุบัติเหตุรถโดยสารประจำทางชนท้ายรถรับส่งนักเรียนที่จังหวัดพิษณุโลก ว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าผู้ขับขี่รถโดยสารประจำทางได้ฉีดยาเบาหวานในตอนเช้าแล้วไม่ได้รับประทานอาหารเช้า ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้เกิดอาการหน้ามืด วูบ และไม่ได้สติ จึงไม่สามารถควบคุมรถได้ทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น ทั้งนี้ขอแนะนำว่าหากประชาชนทราบว่ามีปัญหาสุขภาพร่างกายไม่พร้อมที่จะไปขับรถ ไม่ควรขับรถเด็ดขาด โดยในแต่ละปีมีข่าวผู้ขับขี่ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคลมชัก กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือหัวใจวาย เกิดอาการเฉียบพลันทำให้เกิดอุบัติเหตุรุนแรง มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตได้
รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวต่อว่า สำหรับและปัญหาสุขภาพเสี่ยง ได้แก่
1. โรคที่เกี่ยวกับสายตาต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม ทำให้ขับรถในเวลากลางคืนแล้วมองไม่ชัด ส่วนคนเป็นต้อหินทำให้มุมสายตาแคบลง มองเห็นภาพส่วนรอบได้ไม่ดี และมองเห็นแสงไฟบอกทาง หรือไฟหน้ารถพร่าได้
2. โรคทางสมองและระบบประสาท ที่ทำให้มีอาการหลงลืม การตัดสินใจช้าและสมาธิไม่ดี
3. โรคหลอดเลือดสมอง ทำให้แขนขาไม่มีแรงขับรถ เหยียบคันเร่ง เหยียบเบรกหรือเปลี่ยนเกียร์
4. โรคพาร์กินสัน มีอาการแข็งเกร็ง มือสั่น เท้าสั่น ทำอะไรช้าลง ทำให้ขับรถได้ไม่ดี
5. โรคลมชัก ในสภาวะที่ควบคุมอาการชักไม่ได้
6. โรคไขข้อ ข้อเสื่อม ข้ออักเสบต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อการขับรถ เช่น ข้อเข่าเสื่อม ทำให้เหยียบเบรกได้ไม่เต็มที่
7. โรคหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง อาจมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก วูบ หมดสติ
8. โรคเบาหวานที่ควบคุมยังไม่ได้ ถ้าน้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้มีอาการ หน้ามืด ใจสั่น สมาธิไม่ดี ตาพร่า
และ 9. การกินยาบางชนิด มีผลทำให้ง่วงซึมหรือง่วงนอน มึนงง สับสนได้เวลาขับรถ และทำให้การตัดสินใจ สมาธิ และความรวดเร็วในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ช้า ควรปรึกษาแพทย์ว่ายาที่กินมีผลต่อสมรรถนะในการขับรถหรือไม่
...