ในยามกลางวัน “สถานีรถไฟหัวลำโพง” ต่างพลุกพล่านเต็มไปด้วยผู้โดยสารคนไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติ มีจุดมุ่งหมายเดินทางออกต่างจังหวัด แต่ช่วง “ยามค่ำคืน” กลับถูกเปลี่ยนสภาพจาก “สถานีขนส่งมวลชน” กลายเป็นห้องนอนกลางแจ้งของ “คนไร้บ้าน” และ “คนชั้นแรงงาน” ใช้เป็นที่พักผ่อน

ปัญหานี้เหมือนเป็นเรื่อง “สุมอก”...ให้ภาครัฐ ไม่ใช่น้อย ที่ออกมาตรการ นโยบายกวาดล้างจัดระเบียบเป็นระลอก...จนถูกมองว่า “ปฏิบัติการผักชีโรยหน้า” เพราะยิ่งทำ...ยิ่งเพิ่ม ไม่สามารถจัดการได้เป็นรูปธรรม

ซ้ำร้ายยังท้าทายเจ้าหน้าที่รัฐ ด้วยการใช้สถานีหัวลำโพง “แอบแฝงขายบริการทางเพศ” มีการตั้ง “แก๊งลวงเด็กขายตัวแลกยา” หากใครไม่ทำตามต้องถูกทำร้ายร่างกาย จุดไฟลน หรือใช้มีดกรีดแขน จนถูกกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) กวาดล้างจับกุมไปเรียบร้อยไม่นานมานี้

เสียงร่ำลือนี้เป็นที่รู้จักกลุ่มนักเที่ยวราตรีมานาน “ทีมสกู๊ปหน้า 1” ลงพื้นที่สำรวจ “ย่านหัวลำโพง” ในการสังเกตการณ์ “หญิงขายบริการและ กลุ่มคนไร้บ้าน” อีกครั้ง...

และพบว่า...ยังมีคนไร้บ้านกระจัดกระจายตามมุมมืดใต้ต้นไม้ หรือนั่งพักอยู่ริมคลองผดุงกรุงเกษม มีบางส่วนแอบแฝงรวมอยู่กับผู้โดยสารภายในสถานีหัวลำโพง

ในช่วงเวลา 22.00 น.เป็นต้นไป มักมี “ผู้ใจบุญ” ขับรถแวะเวียนมาแจกอาหาร น้ำ ข้าวกล่องอยู่เป็นระยะ หรือบางคนมีการแจกเงินด้วยซ้ำ ทำให้คนไร้บ้านต่างกรูกันเข้าไปแย่งชิงรับสิ่งของกันเกลี้ยงในพริบตา...

ทำให้มีคนบางกลุ่มต่างมารอรับของบริจาคกันเป็นจำนวนมาก

จากนั้น “ทีมสกู๊ปหน้า 1” เดินข้ามถนนมายังบริเวณ “แยกหัวลำโพง” บริเวณลานทางเข้าสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ถนนพระราม 4...ต้องแปลกใจกับ “กลุ่มแม่ค้าหาบส้มตำ” มีตั้งแต่หญิงสาววัยรุ่นหน้าตาจิ้มลิ้ม จนถึงวัยกลางคน ที่มีการแต่งหน้าทาปาก ต่างนั่งตามริมฟุตปาทเรียงราย “หาบขายส้มตำ” ที่เต็มไปด้วยครก สาก ไข่ปิ้ง

...

อีกทั้งยังมี “สุรา ยาดอง” มีน้ำสีแดง หรือยาดองเข้มบรรจุไว้ในขวดน้ำพลาสติก ที่ถูกแบ่งใส่ขวดแบนหลายขวด มาพร้อมกับแกล้ม มะขามเปียก มะยมเปรี้ยว...และมีชายหนุ่มแวะเวียนเข้ามาสอบถาม...พูดคุยกับแม่ค้าเหล่านี้อยู่เป็นระยะ และยิ่งยามดึกมากเท่าไหร่...ยิ่งมีลูกค้าชายหนุ่มมากขึ้นเท่านั้น

จนมองย้อนถึงอดีต...แม้กาลเวลาผ่านมาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่ธุรกิจบรรดาแม่ค้าส้มตำหน้าตาจิ้มลิ้มนี้...ยังคงคึกคักอยู่เช่นเดิม กลายเป็นเอกลักษณ์หนึ่ง “คุ้นหู...คุ้นตากัน” อยู่คู่กับ “หัวลำโพง” มาช้านาน

เมื่อเดินวนสำรวจอยู่ 2-3 รอบ ประมาณ 20 นาที บริเวณนี้เริ่มมีแม่ค้าหาบส้มตำ ทยอยมาตั้งร้าน 10-12 ร้าน ทันใดนั้นก็มีแม่ค้าส้มตำยิ้มทักทาย เสมือนชักชวนให้เข้ามานั่งดื่มเหล้ายาดอง พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า...สักเป๊กแก้เหงาเปล่าพี่? แบนละ 100 บาท...เดี๋ยวมีน้องๆสาวๆมานั่งคุยเป็นเพื่อน...

ไม่กี่นาที...ก็มีหญิงสาววัยรุ่น อายุราว 30 ปี หน้าตาหุ่นดี ผิวขาว สูง 150 ซม. ปรากฏตัวขึ้นมาด้วยชุดกางเกงยีนส์ขาสั้นฟิตเปรี๊ยะ สวมเสื้อยืดรัดติ้ว เรียกแม่ค้าขายส้มตำว่า “แม่” เดินมาหยิบเสื่อจากในถุงย่ามกางแล้วชักชวนนั่งลง และหันหยิบเหล้าแดงแบนขึ้นมารินใส่ 2 แก้ว ดื่มพูดคุยกันระหว่างเรากับเธอ...

การสนทนาผ่านไป 2 แบน...ทราบเธอชื่อ...“นิดหน่อย” แม่ค้าส้มตำ ที่เธอเรียกว่า “แม่” ชื่อว่า “แหวน” เป็นชาว จ.ร้อยเอ็ด

แหวน เล่าว่า เดิมเคยเป็นสาวโรงงานชั่วคราว ทำเพื่อหารายได้เพิ่มพิเศษ แต่ถึงช่วงเก็บเกี่ยวข้าวต้องออกจากงานกลับบ้านประจำทำให้โรงงานไม่รับคนงานชั่วคราวจึงต้องหันมาหาบขายส้มตำที่เป็นอาชีพอิสระแทน

ทว่า...ยึดอาชีพหาบขายส้มตำ ย่านหัวลำโพงแห่งนี้มา 8-9 ปีแล้ว ตั้งร้านเวลา 20.00-03.00 น. กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนทั่วไป หรือกลุ่มคนต่างจังหวัด เดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯด้วยรถไฟ หรือกลุ่มเที่ยวออกมาจากสถานบันเทิง ไม่มีที่ไปเที่ยวไหนต่ออีก ก็จะแวะเวียนมานั่งดื่มเหล้าที่นี่

แต่ละวันขายส้มตำเฉลี่ยวันละ 700–1,000 บาท หากเจ้าของหาบส้มตำร้านใด...“ขายเก่ง” อาจได้คืนละ 1,500–2,000 บาท เพราะในช่วง 4–5 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจย่ำแย่มาก ไม่ค่อยมีใครออกมาเที่ยวกันเหมือนอดีต เช่นบางวันอย่างที่พูดกันไม่มีลูกค้า แต่ก็ยังสามารถขายส้มตำได้ยืนพื้นไม่ต่ำกว่า 1,500 บาทต่อคืน

โดยเฉพาะสิ้นเดือน...เงินเดือนออก ถือว่าเป็นช่วงสร้างรายได้เป็นกอบ...เป็นกำ...

หนำซ้ำ...ในช่วงนี้ยังมีข่าวออกมาตั้งแต่ปีที่แล้วว่า...“สถานีหัวลำโพง” จะย้ายเส้นทางการเดินรถไฟในบางสายของภาคอีสานและภาคเหนือ จอดสิ้นสุดระยะที่ “สถานีบางซื่อ” ในปี 2563 ทำให้มองเห็นอนาคตไม่ค่อยดี อาจต้องกลับไปทำไร่ทำนาเหมือนเดิม หรือก็เปลี่ยนอาชีพใหม่ เพราะลูกค้าหลักคือกลุ่มคนภาคอีสานและภาคเหนือ

ส่วนลูกสาว “น้องนิดหน่อย” ในช่วงนี้ว่างงานอยู่เลยให้ออกมาขายส้มตำ และยังมีลูกสาวอีก 1 คน ตอนนี้ยังไม่ออกมาจากบ้าน แต่จะออกมาในช่วงดึกๆ

“ทีมสกู๊ปหน้า 1” พยายามไถ่ถามถึงเรื่องงานขายบริการ “แหวน” นั่งยิ้มตอบอย่างทีเล่นทีจริงว่า...ใจเย็นๆ “ลูกเขย”...กินเหล้าให้หมดแบนก่อน แล้วต่ออีกสัก 2 แบน...

...

“เธอ” บอกอีกว่า...ก่อนหน้าประตูเข้าสถานีรถไฟ มักมีเด็กอายุ 15 ปีชอบมารวมกลุ่มกันทุกคืน เพื่อขายบริการทางเพศ แต่ไม่นานมานี้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาจับกุมไปหมดแล้ว และได้ยินข่าวว่า...สามารถจับกุมหัวโจกเป็นคนบังคับเด็กหญิงขายบริการทางเพศด้วย

จนสงสัยว่า...เด็กพวกนี้ถูกบังคับจริงหรือไม่ เพราะส่วนใหญ่มาแบบสมัครใจขายบริการ...

ที่ผ่านมา...ในสถานีหัวลำโพงมีกลุ่มมิจฉาชีพหลากหลายรูปแบบ มีการตั้งกันเป็นแก๊งอยู่หลายกลุ่มมานานแล้วเช่นกัน มักชอบสร้างอิทธิพลเฉพาะภายในพื้นที่สถานีหัวลำโพง...

หากมีคนหน้าใหม่เข้ามาก็ต้องเป็นลูกน้อง คนรุ่นเก่าให้ทำอะไรก็ต้องทำ หากไม่ทำก็ต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น ถ้าไม่ยอมก็ต้องมีเจ็บตัวกันบ้างแต่พวกนี้จะไม่ข้ามมาสร้างความวุ่นวายฝั่งถนนพระราม 4

กระทั่งกินเหล้าหมดแบนที่ 3...มองดูนาฬิกา 22.30 น. ได้ย้ายจากร้าน “ป้าแหวน” เดินถัดมาอีก 5 ร้าน ซึ่งเป็นร้าน “ป้านี” ชาว จ.ร้อยเอ็ด มีเด็กสาววัยรุ่น 2 คน มาช่วยขายส้มตำ คนแรกชื่อ “น้องสุ” คนนี้ผิวขาว หน้าอกใหญ่ หน้าตาจิ้มลิ้ม ใส่กางเกงยีนส์ขาสั้น เสื้อยืด อายุราว 22 ปี ส่วนอีกคนชื่อ “น้องดา” ผิวขาวแดง ใส่กางเกงยีนส์ขาสั้น เสื้อกีฬาทีมฟุตบอลชื่อดัง อายุประมาณ 17-18 ปี ทั้ง 2 คน เรียกป้านีว่า “แม่”...

เริ่มสนทนากันด้วยเหล้ายาดองแบนแรก ราคา 100 บาท มี “น้องสุ และน้องดา” ทำหน้าที่เรียกแขกต้อนรับลูกค้าเข้าร้านและคอยดูแลรินเหล้าแดง และพูดคุยกับลูกค้า เทกแคร์ลูกค้า รับออเดอร์ต่างๆ

“น้องสุ” เล่าว่า เธอมาขายส้มตำช่วยแม่มาระยะหนึ่ง ส่วนน้องสาวมาหารายได้พิเศษเป็นบางครั้งบางคราว ในทุกวันจะออกมาตั้งร้าน 20.00 น. จนถึง 03.00 น. ลูกค้ามักเข้ามานั่งดื่มเหล้ายาดอง 5 ทุ่ม โดยเฉพาะหลังสถานบริการปิดหมด ที่มีบางคนอารมณ์ค้างยังไม่อยากกลับบ้าน ก็จะแวะเวียนมาเที่ยว หรือนั่งดื่มเหล้ากันต่อ

...

ในระหว่างสนทนา “น้องสุและน้องดา” เร่งชนแก้วอยู่เป็นระยะ เพื่อให้ได้ยอดขายเหล้ายาดอง จนหมดผ่านไป 3 แบน เหมือนติดลมก็เลยสอบถามไปว่า...มีแหล่งเที่ยวต่อใกล้ย่านนี้ที่ไหนบ้าง...“เธอ” แนะนำผับแห่งหนึ่ง ในซอยจุฬา 10 ที่เปิดยันเช้า มีเด็กวัยรุ่นเที่ยวเยอะ หากอยากให้พาไปเที่ยวต้องจ่าย 500 บาท...

บริการพิเศษสุด เธอว่าหากดื่มเหล้าจนเมาแล้ว ไม่อยากกลับบ้านต้องการเปิดห้องนอนพักผ่อน และมีคนคอยดูแล...ถ้ามีใจจริงๆขอ 500 บาท และค่าห้องต้องจ่ายเอง สิ่งสำคัญ...ไม่ใช่ไปกับทุกคน แต่ขึ้นอยู่กับการพูดคุยถูกคอกันจริงๆ หรือเกิดความพึงพอใจซึ่งกันและกัน จากนั้นค่อยชักชวนกันออกไปต่อ...เพราะที่นี่แม่ค้าไม่ได้ขายบริการ ต้องขึ้นอยู่กับความพึงพอใจกันด้วย

ทั้งหมดนี้เป็นการ “อัปเดต”...แม่ค้าหาบส้มตำปากแดงแฝง...“บาร์ราคาถูก” ใช้พื้นที่สาธารณะขายเหล้ายาดอง “ใช้เด็กสาว...เชียร์แขก” โปรยเสน่ห์มัดใจหนุ่มนักเที่ยวราตรี หากพึงพอใจทั้ง 2 ฝ่าย...ก็พร้อมร่วมหลับนอน นี่คือรูปแบบแฝงขายบริการ...?

เรื่องนี้ร่ำลือกันมานาน...กลับไม่เตะตา...เข้าหู...เจ้าหน้าที่รับผิดชอบในพื้นที่กัน...