"เศรษฐพงค์" ชี้เปลี่ยนผ่านกิจการดาวเทียมแบบ "พีพีพี" ต้องทำรอบคอบ แนะ "กสทช.-ดีอีเอส" ศึกษาอำนาจให้ดี หวั่นผิดกฎหมาย
เมื่อวันที่ 21 ต.ค.62 ที่โรงแรงเดอะเบอร์เคลีย์ ประตูน้ำ มีการประชุมรับฟังความคิดเห็นสาธารณะต่อ (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. จำนวน 3 ฉบับ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการดาวเทียม ประกอบด้วย 1.ร่างประกาศ กสทช. เรื่องแผนการบริหารสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม 2.ร่างประกาศ กสทช.เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม และ 3.ร่างประกาศ กสทช.เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมต่างชาติ ในการให้บริการในประเทศ
โดย พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการสื่อสารโทรคมนาคม และดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ กมธ.ดีอีเอส ให้สัมภาษณ์ว่า การรับฟังความคิดเห็นครั้งนี้จัดขึ้นโดยสำนักงาน กสทช. โดยตนได้รับมอบหมายจาก น.ส.กัลยา รุ่งวิจิตรชัย ประธานคณะกรรมาธิการ ดีอีเอส ให้เข้าร่วมการรับฟังความคิดเห็นครั้งนี้ด้วย เพื่อให้การออกประกาศที่เกี่ยวกับกิจการดาวเทียมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรอบคอบ ซึ่งร่างประกาศ กสทช.ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ เพื่อเปลี่ยนผ่านระบบสัมปทานดาวเทียมไปยังระบบใบอนุญาต ซึ่ง กสทช.จะต้องทำหน้าที่ถือสิทธิเข้าใช้วงโคจรหรือไฟลิ่ง เพื่อรักษาตำแหน่งวงโคจร โดยการออกแผนการบริหารสิทธิในการใช้วงโคจรดาวเทียม เนื่องจากหลังจากสิ้นสุดสัมปทานเปลี่ยนเป็นระบบใบอนุญาตแล้ว เท่ากับว่าเป็นการเปิดเสรีกิจการดาวเทียมอย่างเต็มรูปแบบ
"ในเรื่องนี้จะต้องมีความชัดเจนของอำนาจในด้านดาวเทียม ระหว่างสำนักงาน กสทช.และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส เนื่องจากในการเปลี่ยนผ่านจากระบบสัมปทานดาวเทียม ไปยังระบบใบอนุญาต จะทำให้ทรัพย์สินทั้งหมดของไทยคม ต้องส่งมอบให้กับกระทรวง ดีอีเอส เพื่อนำไปบริหารจัดการ ในขณะที่ กสทช.จะทำหน้าที่ถือสิทธิเข้าใช้วงโคจรหรือไฟลิ่ง ซึ่งหากมีการวางแนวทางการบริหารจัดการ โดยดำเนินการในลักษณะ พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน หรือ พีพีพี ตามแผนการใช้สิทธิดาวเทียม หรือที่เรียกว่าเอกสารข่ายงานดาวเทียม (Satellite Network Filing) ซึ่งหากไม่รอบคอบอาจทำให้การดำเนินการดังกล่าวผิดกฎหมายได้" พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ กล่าว
...
พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ยังคงมีไฟลิ่งเดิมที่ยังอยู่ภายใต้สัญญาสัมปทานเดิมของกระทรวง ดีอีเอส คือ ดาวเทียมไทยคม 4, 5, 6 รวมถึงดวงที่ 7 และ 8 ที่อยู่ในขั้นอนุญาโตตุลาการ รวมทั้งสิ้นจำนวน 11 ไฟลิ่ง ดังนั้นจึงมีข้อสังเกตว่าอำนาจดังกล่าวควรจะต้องโอนมายัง กสทช. หรือไม่ อีกประเด็นที่สำคัญในกฎหมายใหม่นี้ คือการเปิดให้ผู้ประกอบการสามารถใช้วงโคจรของต่างชาติได้ และเนื่องจากวงโคจรของต่างชาติจะเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น และมีความสะดวกมากกว่าการใช้วงโคจรดาวเทียมของไทย ซึ่งหากผู้ประกอบการมีการใช้โครงสร้างพื้นฐานของต่างชาติมากเกินไป อาจจะเกิดปัญหาตามมาก็คือปัญหา ความมั่นคงด้านกิจการอวกาศ (Space Security) ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่น่ากังวลอย่างมาก โดย กมธ.ดีอีเอส จะทำหน้าที่ในการติดตามการดำเนินการต่างๆ เกี่ยวกับกิจการดาวเทียมอย่างใกล้ชิดต่อไป เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่พี่น้องประชาชน